KEY
POINTS
(ต่อจากตอน 1)
ลักษณะของพฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อช้างจึงยังขาดความสุขุมรอบคอบทำไปลักษณะที่มีพื้นฐานจากการที่เป็นหมู่บ้านที่หาเลี้ยงช้างไว้ใช้งานแบกหามชักลาก ซึ่งกิริยาค่อนจะตรงตามตัวคำจริงๆคือการ “ใช้” งาน
ในยุคหนึ่ง(1990s) ควาญเด็กหนุ่มจึงมักลงโทษช้างอย่างแรง และมีความถี่ในการลงโทษบ่อย ซึ่งก็แน่นอนว่าแปรเปลี่ยนไปได้ตามปัจจัยปัจเจกของบุคคลและมาตรฐานสถานที่ที่กำหนด บางทีช้างนั้นเป็นของปาง ควาญเปลี่ยนหน้ากันมาใช้งานดูแล เมื่อไม่คุ้นกันมีการต่อต้านกันก็ลงไม้ลงมือหนักๆ ซึ่งหลายทีก็มีการแก้ปัญหาโดยการให้ความชาติพันธุ์เดียวกัน ที่สูงอายุกว่ามากๆมากำกับ ดูแลกันอีกทีนึง
จนเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลของคนส่วนใหญ่นั้นง่ายขึ้นการเปิดเผยหรือแฉพฤติกรรมกระทำกันได้ง่ายก็เป็นปัจจัยทางสังคมที่บีบบังคับขัดเกลาให้การปฎิบัติต่อช้างกระทำไปโดยละมุนละม่อมมากขึ้นโดยธรรมชาติอยู่เอง
การทำพิธีผ่าจ้าน เปนไปเพื่อการลูกช้างแม่ช้างออกจากกัน เพื่อจะได้นำลูกช้างไปฝึกใช้ให้ทำงานกับคน พิธีกรรมมุ่งหมายให้แม่ช้างและลูกช้างลืมกันบ้าง อันเปนวิถีอย่างคล้ายๆเด็กเล็กๆถูกจับแยกไปส่งเรียนอนุบาล จะไม่ “ติด” แม่ เปนลูกแหง่ตามกันอีกต่อไป โดยเร่งให้เกิดสถานการณ์ไวขึ้นกว่าธรรมชาติเล็กน้อย โดยอาศัยความเชื่อทางไสยศาสตร์ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการเลี้ยงช้าง หมอควาญจะทำพิธีนี้เมื่อลูกช้างอายุ 3-4 ปี ขณะที่กระบวนการซึมซับจดจำ-imprint ยังแสดงผลอยู่ ทำให้ลูกข้างหันไป imprint ในผู้ฝึกหรือคนเลี้ยงแทนทำให้เปลี่ยนเป็นช้างทำงานที่เหมาะกับการใช้ชีวิตร่วมกับคนต่อไป
พิธีผ่าจ้านของกะเหรี่ยงและไทยแตกต่างกันอยู่บ้างหมอควาญทั้งสอง จะต้องหาฤกษ์ยาม วันที่ดีในการประกอบพิธี จากนั้นมีการเตรียมคอกซองใส่ลูกช้างที่มีขนาดพอดีกับตัวลูกช้าง เพื่อให้ลูกช้างขยับตัวได้น้อยที่สุด คอกซองนี้ต้องแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ใช้ผูกตรึงลูกช้างไม่ให้ดิ้นรน
ฝ่ายครูกะเหรี่ยงที่ใช้ ก็คือเชือกใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว สำหรับคล้องลูกช้างดึงเข้าคอก เชือกกลางเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ไว้มัดขาหลัง (หมอควาญกะเหรี่ยงเรียกเชือกนี้ว่า เชือกน้องแน้ง) มีโซ่จะแคะ 2 อัน สำหรับยึดตรึงขาคู่หน้าและหลัง เชือกปะอก 5 อันสำหรับยึดตรึงส่วนหัว 1 อัน ส่วนอก 2 อัน ส่วนหลัง 2 อัน ไม้ปลายแหลมที่หมอควาญเรียกว่า ไม่ค่อน ไว้ทิ่มแทงให้เข้าคอกโดยดี
ต่อจากนั้นเตรียมขันตั้งครูหรือขันครู
หมอควาญจะใช้ไม้ไผ่มาผูกเป็นห้างหรือศาลเพียงตา วางขันตั้งครูซึ่งมักใช้กะละมังสีขาวใส่อุปกรณ์ทั้งหมด ประกอบด้วย เงินค่าครู 500 บาท ข้าวสุกหน้าหม้อ 1 จาน ไก่บ้านตัวผู้ต้มคู่หนึ่ง ตัวเมียต้มคู่หนึ่ง เทียนเล็ก 4 เล่ม เทียนใหญ่ 2 เล่ม กรวยใบตองข้าวตอกดอกไม้ 6 กรวย กรวยใส่หมากพลู 6 กรวย ดอกไม้สีขาวไม่จำกัดชนิดและจำนวน น้ำขมิ้น ส้มป้อย ใบหนาด 3 ช่อ เหล้าขาว 2 ขวดกล้วย อ้อยปอกเปลือก และเกลือเม็ดสำหรับให้ช้างกิน
เมื่อเริ่มพิธี ก็จะล่ามแม่ช้างไว้ก่อนโดยตกปลอกใส่โซ่ 2 ขาหน้าจะได้เดินช้าๆ กันอันตรายจะเกิดกับคน เหล่าสมาชิกควาญทั้งหมดประมาณ 30 คน ช่วยกันใช้เชือกคล้องลูกช้างแล้วดึงเอาไปไว้ในคอกซอง ควาญบนคอแม่ช้างก็พยายามทำให้แม่ช้างสงบไม่เข้าไปช่วยลูก
การต้อนลูกช้างเข้าคอกซองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็จะตรึงลูกช้างด้วยเชือกและโซ่ หมอควาญจะท่องคาถาลงในน้ำขมิ้นส้มป้อย แล้วใช้ใบหนาด 3 ช่อประพรมน้ำมนต์ไปทั่วตัวลูกช้าง จากนั้นหมอควาญจะปีนขึ้นไปนั่งบนหลังลูกช้าง ท่องคาถาร่ายอาคมแล้วใช้ตะขอสับลงไปบนหัวลูกช้าง 3 ครั้ง เป็นเชิงให้ลูกช้างรู้จักเชื่อฟังคำสั่งหมอควาญและควาญอาวุโสบางคนจะมีการบูชาเครื่องเซ่นคือ ข้าว ไก่และเหล้า และมีการกินเครื่องเซ่นนั้นด้วยในระหว่างพิธี
หมอควาญจะปล่อยให้ลูกช้างอยู่ในคอกซอง 3 วันโดยให้มีควาญที่จะประจำช้างนั้นเป็นผู้ดูแล แล้วหน้าที่ของหมอควาญก็สิ้นสุดลง หลังจาก 3 วันแล้วลูกช้างจะถูกนำออกมาฝึกตามขั้นตอนของมนุษย์ต่อไป
พิธีผ่าจ้านของหมอควาญไทยมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่บ้าง ซึ่งก่อนจะจัดพิธีต้องหาฤกษ์ยามเช่นเดียวกัน เตรียมคอก และอุปกรณ์ยึดตรึงเหมือนกัน ขันครูใช้ขันเงิน ใส่น้ำขมิ้นส้มป้อย พร้อมใบหนาด มีขันโตกใส่หมากสงหรือหมากแห้ง 1 พวง หมากขด 4 ขด หมากตัดท่อน 4 ท่อน ฝักส้มป่อย 1 มัด ไข่ต้มแล้วนำไปปิ้งผ่า 2 ซีก เหล้าขาว 1 ขวดพร้อมจอก ข้าวสาร 1 ถ้วย ผ้าขาว ผ้าแดงอย่างละผืน เงินค่าครู 32 บาท เทียนใหญ่ 2 เล่ม เล็ก 4 ข้าวตอก 1 ถ้วย สวยดอกไม้ พลู ธูป 8 กรวยหมากพลู 8 คำ กล้วยหวี อ้อยมัด ไม้ไผ่ผ่าจ้านคู่ ตะขอ มีด หอก มัดรวมกัน นอกจากนี้ยังมีสะตวง ซึ่งทำจากกาบกล้วยเย็บเป็นกระทงรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างด้านละ 1 ฟุต ภายในบรรจุเครื่องบัตรพลีผีป่าหรือเครื่องเก้า มีอย่างละ 4 ชิ้น เพื่อแลกลูกช้างจากผีป่า (ตีความว่าลูกช้างเป็นทรัพยากรของผีป่าเพราะเกิดในป่าจะไปเอามาใช้ก็ต้องมีการซื้อขายแลกเปลี่ยน-ความเชื่อในคติชนิดนี้ยังมีอยู่โดยเฉพาะกรณีนักฟุตบอล 13 หมูป่าเข้าไปติดอยู่ในถ้ำขุนน้ำนางนอนท่านผู้รู้เห็นก็ใช้วิธีนำลูกหมูป่าจริงๆสิบสามตัวไปขอแลกโดยปล่อยเข้าป่าไป)
ได้แก่ ข้าวสาร เกลือ พริกสด ใบพลู มะนาวผ่าซีก อ้อยปอกเปลือก ใบฟักทอง กล้วยสุก ข้าวเหนียวปั้นเป็นรูปคนและช้าง นอกจากนี้ยังมีไก่ดำเสี่ยงทายนิสัยของช้าง
เมื่อเริ่มพิธีหมอควาญจะยกขันครูจดเหนือศีรษะกาดระลึกถึงท่านครูผู้ให้วิชา บริกรรมคาถาแล้วเปิดขวดเหล้าเทใส่จอก ยกขึ้นจิบ (ไม่จ๊ดจนหมด) เหล้าที่เหลือ หมอควาญจะใช้นิ้วหัวแม่มือจุ่มทาบริเวณขมับทั้งสองข้าง จากนั้นจึงไปเสกน้ำขมิ้นส้มป้อย ใช้ใบหนาดประพรมน้ำมนต์ที่ขันครู เชือกสะตวง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้า หมอควาญ และที่คอกช้าง ควาญช้างอื่น ๆ ประมาณ 30 คน จะนำเชือกไปคล้องลูกช้างดึงเข้าคอกซอง
หมอควาญจะนำไม้ไผ่ผ่าจ้านแยกออกจากกันไปตีลูกช้างและแม่ช้างแล้วเผาไม้ไผ่นั้นเสีย เพื่อไม่ให้นำไปใช้อีก เพราะเชื่อกันว่าหากไปถูกใครจะทำให้เกิดการทะเลาะแตกแยกกันเมื่อตรึงลูกช้างในคอกแล้วจะรดนำขมิ้นส้มป้อยจากหัวไปหาง โดยหมอควาญจะนั่งบนหลังช้าง จากนั้นถือสะตวงแล้วลูบบนหลังช้างจากหัวไปหางเช่นเดียวกัน แล้วนำสะตวงไปวางไว้บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ในป่าต่อจากนั้นมาทำพิธีเสี่ยงทาย โดยนำไก่สีดำลูบไปบนหลังช้างจากหัวไปทาง 3 ครั้ง แล้วโยนไก่ไปทางด้านหลังของลูกช้าง สังเกตกิริยาไก่ว่าเป็นอย่างไร จะสะท้อนพฤติกรรมของลูกช้างเชือกนั้น เช่น หากไก่วิ่งหนีแสดงว่าลูกช้างเชือกนี้จะขี้กลัวตกใจง่าย ถ้าไก่สลัดขนแสดงว่าลูกช้างมักชอบสลัดควาญให้ตกจากหลัง ฯลฯ
จากนั้นหมอควาญจะเสกคาถาใส่ตะขอแล้วสับลงบนหัวลูกช้าง 3 ครั้ง แล้วสอนให้ข้างเชื่อฟังคำสั่งควาญ แล้วนำกล้วย อ้อยในพิธีให้ช้างกิน เป็นอันเสร็จจบพิธี
ซึ่งตลอดช่วงชีวิตของช้างนอกจากการผ่าจ้านแล้ว หมอควาญยังต้องทำ พิธีอื่นตามช่วงวาระ เช่น ทำพิธีปัดภัย ที่จัดขึ้นเมื่อมีกรณีช้างไปฆ่าคน พิธีปัดพรายทำเมื่อเกิดมีช้างล้ม (ตายโดยเฉพาะตายจากโรค) อีกพิธีหนึ่ง คือ การดำหัวช้าง ซึ่งสืบเนื่องมาจากพิธีการคำหัวในงานสงกรานต์ของชาวภาคเหนือ มีการเตรียมอาหารช้าง กล้วย อ้อย มะขามเปียก แตงโมฯ มีหมอมาทำพิธี ให้เจ้าของปางรดน้ำขมิ้นส้มป่อย ทำขอบคุณและขมาช้างที่ได้ใช้งานมีการพลั้งพลาดล่วงเกินต่างๆนานา ช้างที่ถูกฝึกและเรียนรู้การอยู่กับคนบางคราวคนใช้เชือกเส้นเล็กกว่านิ้วก้อยมัดขาไว้ข้างเดียวให้รู้กันว่าอย่าไปไหนช้างก็อยู่ตรงนั้นอย่างนั้นไม่ต้องใส่โซ่ใส่ตรวนเหล็กหน้าพิศวง (ดังรูป)
อีทีนี้ว่ากรณีของการพรากลูกพรากแม่กันนั้นในธรรมชาติเองก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ กรณีตัวอย่างเพิ่งเกิดสดๆร้อนร้อนที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงู ที่เขตป่าตะวันตก ทองผาภูมิ แม่ช้างซึ่งอยู่ในโขลงคลอดลูกออกมาเป็นเพศเมีย แต่ว่าลูกนั้นอ่อนแอป้อแป้ผิดปกติ
ช้างทั้งโขลงเคลื่อนที่ไปไกลมากแล้วตัวแม่ก็จำเป็นที่จะต้องติดตามโขลงช้างไปตามประสาสัตว์สังคม ลูกไม่สามารถจะลุกเดินได้อย่างช้าปกติเขา ก็ไม่มีใครรอแม่ก็จำเป็นจะต้องทิ้งลูกไว้แล้วตัวเองก็ตามโขลงช้างไป เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าพิทักษ์สัตว์ป่าพบเห็นเหตุการณ์ก็จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงต้องอุ้มเอาเจ้าลูกช้างป้อแป้มาอุ้มชูดูแลป้อนนมป้อนข้าวตั้งชื่อว่า เจ้าข้าวต้ม เพราะว่าต้องป้อนข้าวต้มกันเนื่องจากความอ่อนแอไม่สมบูรณ์ของเขาต้องเอาของกินง่ายย่อยง่าย อันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการผ่าจ้านโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คงมีอยู่แต่ไม่มากเพราะโดยทั่วไปในโขลงช้างมักจะมีช้างตัวเมียที่ทำหน้าที่อย่างคุณป้าเรียกกันว่าแม่แปรก(ใช้รอเรือ) คอยช่วยดูแม่ช้างมือใหม่ด้วย คอยช่วยดูลูกช้างคลอดใหม่ด้วยคอยป้องกันอันตรายและชี้แนะต่างๆอย่างผู้มีประสบการณ์มาก่อน
ส่วนช้างที่มีความมั่นใจในตัวเองไม่ยอมอยู่เป็นสมาชิกของโขงเดินเดี่ยวในป่าเรียกกันว่าช้างโทน ซึ่งก็อาจเกิดจากการมีเรื่องกันกับจ่าโขลง แล้วอยู่กับเขาไม่ได้ ต้องแยกทาง จ่าโขลงเป็นเพศเมียก็มี แต่ช้างโทนโดยมากแล้วจะเป็นช้างพลายเพศผู้
ในเวลาเดียวกันช้างที่โตแล้วโดยเฉพาะช้างพลายจะต้องถูกไล่ออกจากโขงเป็นปกติวิสัยเพื่อได้ไปสร้างครอบครัว สร้างโขลงสร้างฝูงเอาใหม่เวลาที่ยังตั้งตัวไม่ได้ คิดถึงแม่หรือคิดถึงพี่สาวจะกลับมาหาที่โขลงก็มักจะถูกทางโขลงเขากีดกันไม่ให้เข้าหาโดยเฉพาะตัวอย่างอย่างเจ้าหงษ์ทองที่จังหวัดตราด ได้แต่มายืนป้อยๆมองแม่มองพี่
สมัยนี้การใช้ช้างเพื่อเป็นแรงงานในการฉุดลากมีน้อยลง ออกเป็นลักษณะช้างเพื่อการสันทนากันมากกว่าการผ่าจ้านจึงลดความร้ายกาจลงใช้ความอดทนอดกลั้นมากขึ้นเทคนิคใหม่ใหม่ที่นำมาใช้แยกลูกช้างจากแม่คือจะเริ่มมัดให้ทั้งสองฝ่ายห่างกันวันละเมตรไปเรื่อยๆให้เขารู้กันว่าไม่ได้แยกย้ายหนีหายไปไหนยังเห็นกันอยู่แต่ไม่ได้เข้าใกล้กัน ค่อยค่อยให้ห่างกันเรื่อยเรื่อยเรื่อยเรื่อยจนกระทั่งวันหนึ่งก็เข้าใจในความแยกกันอยู่ได้เอง
คำว่า ผ่าจ้านนี้ยังคงมีการนำไปใช้กับคนเป็นอีกด้วยในกรณีที่ต้องการให้คนสองฝ่ายแยกจากกันในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ทำการพิธีผ่าจ้านเช่นกันเป็นอาถรรพณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งอุปกรณ์เครื่องทำพิธีต่างๆ เขาจะไปตั้งไปทำกันตรงทางแยกไม่ว่าจะสี่แยกหรือสามแยกเพื่อให้เกิดการแตกแยกจากกันตามชื่อทาง
โดยทั่วไปแล้วผัวเมียที่ครองรักกันมาแล้วเกิดปัญหามือที่สามเข้าแทรกแซงถ้าว่าฝ่ายเมียมีชู้โดยมากฝ่ายผัวก็ไม่ได้ทำพิธีผ่าจ้านอะไร มักโผล่ไปดักยิงชู้ทิ้งกันดื้อๆ ก็เป็นอันจบไป ได้แยกย้ายกันทุกฝ่ายสมประสงค์ กล่าวคือชู้แยกหายไปจากโลก ฝ่ายผัวผ่าแยกไปติดคุก ส่วนฝ่ายเมียอยู่บ้านเฉยๆ 55
แต่ถ้าว่าผัวมีชู้ ที่นิยมเรียกกันว่าชู้สาว อันนี้ฝ่ายเมียไม่ค่อยกล้าที่จะไปยิงไปทำร้าย ก็จะมาหาพ่อปู่ครูหมอเพื่อจะขอให้ทำพิธีผ่าจ้านแยกเอามือที่สามออกไปจากชีวิตผัว ซึ่งกรรมวิธีรายละเอียดถ้ามีโอกาสและเวลาที่เหมาะสมก็คงเล่าสู่ท่านฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ผัวเมียจริงๆเตือนไว้ก่อนว่าอย่าหาทำประเภทว่าหมายปองเขาแล้วมีคนเข้าแทรกแซงให้ทำผ่าจ้าน อย่างนี้ทำไม่ได้อาถรรพ์ทั้งหลายจะเข้าตัวคนทำเพราะยังไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงๆ