ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี

20 ก.ย. 2568 | 04:25 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2568 | 05:51 น.

ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • "ผ่าจ้าน" คือพิธีกรรมการตัดขาดความสัมพันธ์ ซึ่งบทความอธิบายถึง 2 ประเภท คือ "ผ่าจ้านช้าง" ที่เป็นการแยกลูกช้างจากแม่ และ "ผ่าจ้านผี" ที่เป็นพิธีในงานศพของคู่สามีภรรยา
  • "ผ่าจ้านผี" เป็นพิธีกรรมของชาวล้านนาเพื่อตัดสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้คนเป็นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้และวิญญาณผู้ตายจากไปอย่างสงบ
  • "ผ่าจ้านช้าง" ถูกกล่าวถึงจากกรณีคลิปวิดีโอการแยกลูกช้างจากแม่เพื่อนำมาฝึกใช้งาน โดยบทความชี้ว่าพิธีกรรมนี้มีรายละเอียดและความเชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มคนเลี้ยงช้าง

หลังๆมานี้มีคลิปวิดีโอ เกี่ยวกับพิธีกรรมการแยกลูกช้างจากแม่เพื่อมาให้คนมนุษย์ใช้งาน ส่งต่อๆกันมาว่อนในระบบโซเชียล แม้จะเปนคลิปเก่าหลายปี เจตนาที่ทำเผยแพร่ก็ไม่แน่ชัด ฝ่ายหนึ่งว่าจัดฉากเกินจริง ให้น่าสลดสงสารจับลูกช้างมาพรากแม่โดยทรมานน้ำตาไหล จะได้มีคนบริจาคสตางค์ช่วย อีกฝ่ายหนึ่งว่าเรื่องจริง อะไรๆจริง ไม่มีตัวแสดงแทน ต้องการประนามความหยาบเถื่อนของวงการใช้งานช้าง 55

อีทีนี้ก็ว่ากันไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ในโอกาสนี้ก็ขออนุญาตถือจังหวะอันดีที่จะเล่าสู่ท่านฟังถึงพิธีการแยกของที่รักกันให้จากกันไปคล้ายว่าตัดสัมพันธ์ ที่เขาเรียกว่าการ ‘ผ่าจ้าน’

 

ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี

 

ซึ่งเกิดมีทั้งหมดไม่ว่ากับช้าง หรือ กับคนด้วยกัน สำหรับคนนั้น มักพบกันตามงานศพของชาวเมืองเหนือโดยทั่วไปแต่จำเป็นจะต้องเป็นงานศพของคู่สามีภรรยาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ในวันที่นำศพออกเรือนจะต้องทำพิธีการตัดความสัมพันธ์กับคนรักที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ขาดจากกันเสียซึ่งถ้ามองในมิติหนึ่งก็เป็นการผ่าจ้านผี ให้ขาดจากคน มากกว่าผ่าจ้านคนให้ขาดจากผี ในทางสังคมวิทยาย่อมถือว่าเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างคนเป็นกับคนตาย

ในพิธีนี้พ่อหนาน_ซึ่งโดยมากทำหน้าที่เป็นมัคทายกของวัด บวชเรียนมาพอสมควรเข้าใจกฎเกณฑ์พื้นฐานวัฒนธรรมต่างๆดี จะเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ หรือบางทีอาจเปน สัปเหร่อผู้ใหญ่ที่มีวิชาอาคม แต่จะไม่เป็นพระที่เป็นผู้ทำให้ (ทดลองใช้เครื่องเอไอในการสร้างภาพจากภาพดูเอไอก็หยิบเอาพระมาใส่ในรูปซะอย่างนั้น แปลว่ายังไม่รู้จักงานวัฒนธรรมดีพอ)

ท่านก็จะเรียกคู่สามีหรือภรรยาฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่มายืนข้างศพ โดยหันหน้าออกจากร่างผู้ตาย [ในกรณีต่อไปนี้สมมติว่าผู้ตายเปนฝ่ายผัว ] ในมือพ่อหนานมีกรวยใบตองก้านกล้วย_สวยดอก ซึ่งภายในมีข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนร้อยเส้นฝ้ายสายสิญจน์ บรรจุอยู่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความสัมพันธ์สายใยของสามีภรรยา แล้วให้คู่รักคนภรรยาเป็นจับไว้อีกปลายด้านหนึ่งขณะทำพิธี จึงเอ่ยสัจจะวจีเยือกเย็น ขึ้นมาว่า

 

ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี

 

“บัดนี้สูเจ้าทั้งสองได้ตายจากกันไป สูได้ตายไปสู่โลกภายหน้า ตายเป็นผีหนีเป็นเปิ้น(เขา)ไปแล้วให้ไปเสาะเอาของกินของทาน บุญบารมีแก่กล้า ให้ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเถิดหนา ถ้าบุญบารมีบ่ได้เกิดเป็นเทวบุตรเทวดาอยู่ใช้หนี้ใช้กรรมก็ให้(หื้อ)ไปเกิดเป็นคนไปอยู่ในโลกภายหน้าหื้อเป็นบ่าว(ผู้ชาย)

ส่วนคนที่อยู่ทางหลังมีนามว่า...นื้หื้ออยู่กับลูกเต้าสร้างสมภารบารมีอยู่ค้ำชูดูแลบวรพุทธศาสนาหื้อสืบยามสาวกว้าง

หื้อเป็นสาวอยู่ในโลกนี้ต่อไป

แล้วร่ายคาถา ประจำสถานการณ์ เช่นว่า “ณ วันนี้ เวลานี้ นาทีนี้ โอม ตัสสะ วันนะ ไม้ตังตาบลาย กูจักไล่วัว ควายแห บ่หื้อเข้าบ้าน…กูจักผ่าจ้านหื้อผีและคนออกจากกันเสียเน้อ ..โอม สหจาก”

 

ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี

 

แล้วเป่าพรวดไปที่มีดในมือหมอ จึง

แล้วตัดฉับลงที่กรวยใบตองรองด้วยหัวปลีกล้วยให้ขาดสองท่อนอย่างไวในครั้งเดียว

กรวยชิ้นหนึ่งครูหมอจะเก็บไป อีกชิ้นคนเป็นแยกเอาไปบูชาพระ โดยในจังหวะนี้ พี่น้องเพื่อนฝูงจะเข้าประกบ ให้เดินออกจากพิธีโดยไว โดยหันหลังให้กับศพผู้ตาย ไม่กลับไปมองดูอีกเด็ดขาด ถึงที่บูชา/หิ้งพระแล้วต้องไปกล่าวประมาณว่า

“บัดนี้ข้าพเจ้าได้แบ่งสวยข้าวตอกดอกไม้ตัดสายผัวเมียอยู่คนละโลกแล้ว ข้าพเจ้าขอฝากตัวเป็นอุบาสกอุบาสิกาสืบศาสนาของพระพุทธเจ้าหื้อเจริญก้านกุ่งรุ่งเรื่องสืบยาวต่อไปภายหน้า”

เมื่อสายใยถูกตัดขาดสะบั้นแล้วกรวยดอกไม้นำไปไว้ที่หิ้งพระประมาณพักหนึ่ง แล้วจึงย้ายออกเอาไปวางไว้ที่โคนต้นไม้ บางแห่งนิยมนำกรวยไปวางไว้นอกบ้านทันที เพราะเป็นของที่มีความเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างคนที่อยู่ในบ้าน

เสร็จพิธีกรรมตัดสายผัวเมียนี้แล้ว ถือว่านับเป็นอันสิ้นสุดลงเด็ดขาดสำหรับชีวิตคู่ คนที่ตายได้ระลึกรู้ว่าตนเองเปนผีมีหน้าที่ส่วนตัวต้องไปต่อไป ก็ไม่ห่วงอาลัยคนที่มีชีวิตอยู่ เร่งสร้างความเข้าใจเรื่องภพภูมิที่แตกต่างกันวัตถุต่ำเร่งสร้างความเข้าใจเรื่องภพภูมิที่แตกต่างกันวัตถุต่ำความเข้าใจเรื่องพบแล้วต้องจากอันเป็นสัจธรรมธรรมชาติหาเปลี่ยนแปลงใดใดได้

ส่วนคนมีชีวิตอยู่ก็จะต้องตัดใจไปพร้อมกับการตัดเส้นด้ายตัดกรวยสวยดอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชนิดว่าฉับพลันเด็ดขาดกระตุกต่อมสำนึกในใจให้ฮึกเหิมว่าคราวเป็นก็เป็นอย่างนี้ ถึงคราวตายก็อย่าได้อาลัยอาวรณ์

หากไม่ทำเช่นนี้ในกรณีของคนปกติทั่วไปจิตแพทย์โรงพยาบาลข้างบ้านท่านให้คำอธิบายไว้ว่า เมื่อคนที่รักจากไป หากยังเศร้าซึมหดหู่หวลไห้อาลัยอาวรณ์เกินสามเดือนถือว่าส่อจะเป็นโรคจะต้องพบแพทย์ทำการบำบัดและรักษา

หากไม่ใช่คนทั่วไป เปนผู้มีอาการทางจิตบางคนจะยังยึดมั่นถือมั่น ก็จะนำศพคนรักวางไว้ในที่นอนเหมือนอย่างที่เคยนอน เฝ้าประแป้งเช็ดตัวแม้ร่างนั้นจะเน่าจะเปื่อยส่งกลิ่นฉมเหม็นอย่างไรสมองประสาทก็ไม่รับรู้ยังคงห่มผ้าและกางมุ้งให้กินข้าวก็เรียกกิน กลายเป็นโรคจิตเภทประเภทหนึ่งที่หลอนประสาทตัดการรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นออกไปซะงั้น

ดังนั้นการกระตุกประสาทด้วยการผ่าจ้านโดยคนในครอบครัวและผู้ร่วมพิธีพร้อมใจกันเข้าประกบก็เป็นกลไกทางสังคมวิทยาที่อำนวยให้เหตุต่างๆจากร้ายได้ปรับกลายกลับเป็นปกติตามวิถีคน

ยอมรับสภาวะความจริงของการจากลาและเพียรสร้างบุญบารมีของตนในภพนี้ต่อไป

ส่วนนัยยะของคำว่า “...หื้อเป็นสาวอยู่ในโลกนี้ต่อไป...” ก็แทนความหมายเชิงอนุญาตให้ฝ่ายหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถมีคู่ครองใหม่ได้ โดยไม่ผิดศีลธรรม ตามนิยามอย่างฝรั่งว่า “Life goes on..” -ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป

การ “ผ่าจ้านผี” มีข้อสังเกตว่าจะทำเฉพาะกรณีสามีหรือภรรยาตายจากกันเท่านั้นไม่ทำกับกรณีพี่น้องหรือบุตรธิดาตายจากคือเน้นการ “ตัดสายผัวสายเมีย”ชาวล้านนาเชื่อต่อไปอีกว่าหากสามีภรรยาคู่ใดที่ไม่ประกอบพิธีกรรมนี้ ฝ่ายที่มีชีวิตอยู่ก็จะมีแต่ความเศร้าหมองคิดอาลัยอาวรณ์คู่ของตนและอาจมีอันเป็นไปต้องตายตามกันไปไม่ช้า

 

ผ่าจ้านช้าง ผ่าจ้านผี

 

กลับมาที่เรื่องช้าง ช้างนั้นเป็นที่รู้กันว่าแยกออกเป็นช้างป่าแล้วก็เป็นช้างบ้าน ส่วนช้างบ้านมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ก็มาจากการไปจับช้างป่ามาเลี้ยงนั่นเองมันไม่ใช่กรณีว่าคนในเมืองเลี้ยงช้างที่เกิดขึ้นในเมืองอย่างว่าเป็นสัตว์เลี้ยง (pet)และช้างนั้นก็เชื่องเหมือนหมาหรือสุนัข แต่ช้างถูกใช้งานอย่างเครื่องจักรขนของชักลากไม้ เปนแม้กระทั่งยุทโธปกรณ์ แบกปืนใหญ่ และใช้แทนรถถัง รถทุบในการบุกประชิดจู่โจมทำลายค่าย

คนอยู่ในป่าในดงดอยก็มีวิถีของตนในการรับมือกับช้างในป่า wild life กันทั้งคู่ วิถีวิธีในการปฏิบัติต่อกัน_สายสัมพันธ์ระหว่างคน กับช้างไม่เหมือนกัน คนมีวิชาช้างนั้นมีหลายสำนัก หลายเผ่าหลายพันธุ์จากอินเดีย พม่า ขอม ไทย ชนป่า ไปยันมลายูไม่เหมือนกันเลย คนได้วิชาช้างนั้นอาจจะได้จากหลายสำนักก็ได้ ผู้ที่มีความรู้หรือมีความสามารถมากเรียกกันว่าหมอช้าง [ซึ่งอันคำว่า-หมอ-อันนี้ เขาแปลว่า แก้ได้ หมายความว่า หมอความ-นี่แก้คดีความได้ หมอนวด-นี่แก้เมื่อยแก้ปวดได้ หมอดู-นี่ดูแล้วแก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ ดูแล้วรู้เฉยๆ ก็ จะไปดูทำไม ไร้สาระเสียเวล่ำเวลา ]

ฝ่ายมอญฝ่ายพม่าฝ่ายไทย มีวิถีวิธีช้างแตกต่างกัน อย่างเรื่องช้างเผือกนี้ ครูละว้า ครูอโยธยามีความเชื่อว่าถ้าผู้ใดจับช้างเผือกได้ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดแล้วเมื่อมีช้างเผือกตัวใหม่ปรากฏขึ้นต้องวางมือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่อีกสำนักหนึ่ง (ครูมอญ) กลับบอกว่าผู้ใดจับช้างเผือกได้ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดผู้นั้นจะต้องทำหน้าที่จับช้างเผือกต่อไปจนกว่าจะแก่เฒ่าอ่อนล้าหมดความสามารถวิสัยจึงให้คนอื่นทำได้

อันนี้ขอได้เล่าเพื่อจะปูพื้นเรื่องไปสู่ว่าการกระทำพิธีผ่าจ้านหรือการแยกลูกช้างกับแม่นั้น ผู้ที่ทำพิธีก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไปไม่ได้เหมือนกันไปทั้งหมดหรือเป็นเครื่องบ่งบอกว่าพิธีผ่าจ้านนั้นจะเป็นในคลิปวิดีโอเสมอเหมือนกันหมดทั้งเชียงใหม่ โดยจะละประเด็นการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่เอาไว้เป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมือง

หากจะเฝ้าสังเกตการณ์ให้ดีก็จะพบว่าเมื่อหมดยุคการทำป่าไม้ในเขต ภาคเหนือซึ่งอันที่จริงก็คือทั้งประเทศนั่นแหละเพราะว่ารัฐมนตรีเกษตรในยุคนั้นพลตรีสนั่นฯ ได้ออกประกาศกฎหมายปิดป่า ช้างซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นแรงงานหลักในการชักลากส่งของอุตสาหกรรมป่าไม้ก็ต้องเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นช้างในการสันทนาการ พาคนไปเที่ยว ฯลฯ แปรสภาพจากปศุสัตว์มาเป็นสัตว์เลี้ยงมากขึ้นแต่ผู้ที่จะยังทำงานคู่กับช้างก็คือควาญหรือครูหมอต่างๆนั้นก็มาจากเชื้อสายและวิชาที่แตกต่างกัน ทั้ง ขมุ ละว้า กะเหรี่ยง ไทยเหนือ ไทยกลาง ฯลฯ

ที่แม่แจ่มยังมีกลุ่มชาติพันธ์ที่ใช้ชีวิตกับช้างอยู่มาก เลี้ยงช้างตั้งแต่ช้างนั้นเด็กแล้วตัวเองก็ยังเป็นเด็ก การทำการเกษตรบนที่สูงก็ใช้ช้าง คนเมืองเรียกพวกเขารวมๆว่ากะเหรี่ยง

ซึ่งในยุคก่อนวิกฤตเศรษฐกิจนั้น เป็นคนที่บริสุทธิ์ (pure) ตรงไปตรงมาและค่อนข้างขี้อาย(เขิน) เมื่อเข้ามาอยู่เวียงที่มีลักษณะความเปนเมืองสูง เมื่อหมดฤดูการทำนาก็จะเข้าเมืองมารับจ้างเป็นควาญช้างอยู่ในปางช้างหรือสถานที่เลี้ยงช้างเพื่อสันทนาการต่างๆ เสริมจากควาญหลักซึ่งมักจะเป็นควาญไทยเหนือหรือไทยกลางหรือไทยสุรินทร์ ในยุคนั้นที่จะเป็นลูกจ้างประจำของปาง มักมีอายุเป็นผู้ใหญ่แล้ว 30 ขึ้นไป มีครอบครัว ในขณะที่ควาญกะเหรี่ยงเป็นวัยรุ่นอยู่ (ต่อตอน 2)