KEY
POINTS
ในคราวการรบกับแคมโบเดีย_กัมปูเจีย_กัมพูชา ครานี้ โซเชียลมีเดียส์เป็นอุปกรณ์สำคัญของทั้งสองฝ่าย ด้วยเทคโนโลยีอำนวยให้ผู้คนทำการไลฟ์ออกอากาศสดได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งเครื่องมือรวมศูนย์ ต่อทอดการกระจายสัญญาณเหมือนสมัยยุคเก่าก่อน
คนเราผู้อยู่หน้ากล้องก็เป็นดาราได้เอง ไม่ต้องรอแมวมองมาเฟ้นหา ไม่ต้องรอมาบรรณาธิการมาอนุมัติเนื้อหา การนำเสนอ และไม่ต้องมี กบว. เป็นกรรมการคอยเซ็นเซอร์ ตัดต่อเนื้อหาส่วนที่ไม่เหมาะสมออกอากาศ แฟลตฟอร์มชนิดต่างๆ ก็ออกแบบระบบแรงจูงใจให้คนใช้งานเยอะเยอะ ทั้งคนถ่ายและคนดูสามารถเติมไฟให้ของขวัญกันได้ แปรความนิยมเป็นเงินก็ได้ เลยสนุกกันใหญ่ ยิงจรวดยิงปืนใหญ่กันในการรบจริงแล้ว ก็ทำสงครามข่าวสาร ไลฟ์สด กันไปด้วย ฝ่ายทหารเขมรกำลังถ่ายทอดสดเล่นกันอยู่ก็ภาพตัดเพราะระเบิดลงกลางอากาศ !
ฝ่ายทหารไทยใช้การถ่ายทอดสดฟ้องสังคมว่าถูกยิงโจมตีมาจากหลังบ่อนที่ปอยเปต ฯลฯ จนต้องจัดชุดใหญ่ไปถล่มยับยั้งให้ราบคาบ ประดาพี่น้องชาวไทยก็ไลฟ์ให้กำลังใจเหล่าทหารกล้า ใครไปไหนมาไหนเข้าศูนย์หลบภัยก็ไลฟ์สด จนโฆษกกองทัพ ต้องออกมาขอให้งด_ จะตายกันเปล่า เพราะยุคนี้เขาสามารถจับพิกัดคนไลฟ์ได้ว่าอยู่แถวไหน กระเดี๋ยวผู้ประสงค์ร้ายใส่พิกัดเข้าเครื่องนำวิถีก็ได้เป้ากดระเบิดกันโครมๆเท่านั้นเอง
อีทีนี้ช่วงเวลาหนึ่งในการรบทางโซเชียลมีเดียส์ ก็มีคำตัดพ้อน้อยใจ จากฝ่ายทหารพราน อารมณ์ประมาณว่าผู้คนในโซเชียลฯทุกคนมุ่งนิยมแต่กำลังหลักกันหมด ไม่มีใครรู้ว่าด่านหน้าในป่าดงนั้น เหล่าทหารพรานผู้อาสาสมัครยังทำหน้าที่หนักแน่นไม่แพ้ใคร โอ_ก็ขอท่านอย่าได้น้อยใจไปเลย ประดาวีรชนผู้พลีกายในสนามรบนั้นก็มี ผู้พลีกายนอกสนามรบก็ไม่น้อย ผู้ไม่ปรากฏชื่อก็มี ผู้ได้มีเหรียญตราก็มาก ผู้สละชีพอย่างเงียบงันก็มากหลาย ปะปนกันไปตามคาแรกเตอร์_บุคลิกภาพของลักษณะหน่วย ที่ไล่เลียงกันไปตั้งแต่ ภารกิจที่ลับ ที่เปิดเผย ไปจนถึงภารกิจที่ต้องประชาสัมพันธ์ และต้องห้ามประชาสัมพันธ์
ก็นาทีนี้จึงเหมาะควรจะใช้พื้นที่สื่อเปิดตำนานทหารพรานไทยไว้เปนที่เชิดชูเปิดกันที่ว่าอันเมืองไทยของเราที่แคมโบเดียชอบเรียกว่าเสียม เมียนม่าร์ ชอบเรียก โยเดียนั้น
แต่เดิมมาเราเปนเมืองเล็ก กำลังคนน้อย การรบกันสมัยก่อนแบบว่าโถมกำลังเข้าใส่กันตีรันฟันแทงยิงในอัตรา 1:1 นั้น เราไม่ไหว พม่ามาทีหลักแสน เรากำลังหลักหมื่น สู้กันตรงๆดื้อๆก็มีแต่ละลาย บรรพชนคนสยามคนไทยแต่ไหนมา ต้องคิดหากรรมวิธีแก้เกมส์ จำจะต้องวางระบบการส่งกำลังบำรุง_logistics ระบบข่าว ระบบสนับสนุน ระบบช่วยรบกันให้เต็มที่
ครั้งสมัยสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าออกศึก กำลังฝ่ายเรามีน้อย ท่านก็เฝ้าใช้จิตวิทยา วนกำลังทหารเข้าค่าย กลางคืนออกหลังค่าย ตกเช้าทำโห่ร้องให้เอิกเกริก มาเข้าประตูหน้าหน้า หลอกว่ามีการเติมกำลังกันมาเรื่อยๆ ให้พม่าที่จับตาดูอยู่ขวัญเสีย คำนวณนับกำลังเติมเข้ามา(หลอกๆ) กันจนผิดแผนการรบไปหมด
ในยุคถัดมา คราสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงบริหารจัดการทัพให้คล่องแคล่ว รบทางบกได้ ทางน้ำได้ ไม่แยกว่าเปนทหารบกทหารน้ำ ตัวท่านเองชำนาญทั้งรบบนหลังช้าง และ ม้า ส่วนว่าช้างนั้นที่มาทำราชการถวายก็มิใช่ช้างพลายตามปกติ แต่เปนช้างพัง! ชื่อคีรีบัญชร ท่านทรงบริหารจัดการเหตุการณ์ตามทรัพยากรที่มีจนบรรลุเป้าหมายใหญ่ได้สำเร็จ
ฝ่ายสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (พระยาเสือ) ไปรบที่เขตน้ำโขงน้ำคานกำลังฝ่ายตรงข้ามหนาแน่นรบลำบาก ตกกลางคืนทรงตัดหัวนักโทษเชลยผมยาวได้คนหนึ่งก็แจวเรือบดลำเล็กๆจุดตะเกียงหัวเรือวับวาบๆ จ่อหน้าเขตกำแพงเมืองแล้วจิกหัวศพขึ้นมาโชว์ ร้องหลอนทหารยามเฝ้าเชิงเทิน ในอารมณ์เยือกๆประมาณว่าว่า ‘รับซื้อหัวคนผมยาว _มีใครผมยาวเอาหัวมาขาย รับซื้อนะครับบบ’ พายไปร้องบ่อยๆสักสองสามคืน ฝ่ายตรงข้ามที่เปนสังคมไว้ผมยาวก็หลอนในใจ เตลิดเปิดเปิงเสียขวัญ แพ้สงครามจิตวิทยาไปก่อนแล้ว!
จนครั้งสงครามพม่ายุคต้นรัตนโกสินทร์นั้น ท่านใดว่าสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯท่านเก่งแต่ทางกวี/แต่งเพลง อันนั้นเปนส่วนประชาสัมพันธ์ที่เขาเชิดชูท่าน ที่ลับๆนั้นทางราชการแต่เยาว์วัยนอกจากตามเสด็จรัชกาลที่ 1 ไปรบแล้ว หน้าที่หลักคือท่านเปนแม่กองเกียกกาย ต้องล่วงหน้าไปเกณฑ์ที่ทำนาปลูกข้าว รอรับการเคลื่อนขบวนของทัพหลวง ต้องคำนวณน้ำท่า ปริมาณอาหาร การเก็บเกี่ยวต่างๆให้แม่นมั่น ที่ว่าทหารไปรบเอาข้าวตังข้าวแห้งใส่ไถ้ไปกิน ก็ในความเปนจริงจะกินได้สักกี่วัน?
ครั้นจะทำเอิกเกริกก็มิได้ ศัตรูไหวทันหมดว่า จะมีการเคลื่อนทัพกันมา ดังนี้ กองเกียกกายยังมีอยู่จริงจนบัดนี้ และใช้เปนชื่อถนนตรงที่รัฐสภาปัจจุบันตั้งอยู่มานมนานเเล้วด้วย บุคคลผู้ทำการรบอย่างนิรนาม ย่อมปรากฏชื่อเสียงเรียงนามแต่แผ่วเบา หารายละเอียดอะไรไม่ใคร่ได้ อย่างพระองค์เจ้าขุนเณรนั่นปะไร
ประวัติที่มาของท่านก็ลึกลับ พูดกันอย่างชาวบ้านฝ่ายหนึ่งก็ว่าท่านเป็นลูกติดของเจ้าขุนรามณรงค์ บ้างก็ว่าเปนลูกบุญธรรมของพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ 1 ซึ่ง ก็ถูกต้องแล้วที่ความเป็นมาจะต้องสับสนเพราะท่านอยู่ในหน่วยลับการเปิดเผยอะไรก็ย่อมนำภัยมาสู่ตัวท่าน
ท่านได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าในภายหลังถือเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งนอกราชวงศ์จักรี มีวีรกรรมการรบชนิดว่ารบอย่างกองโจรหรือนินจามากมาย ท่านแทรกซึมเข้าไปปฏิบัติราชการสงครามถึงในเวียดนาม นอกเหนือจากยันทัพพม่าอยู่ที่กาญจนบุรีไปชุมพรไปปักษ์ใต้ต่างๆ
เมื่อชราชนมายุถึง 60 แล้วยังรับราชการเข้านำสงครามในลาวคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ยุครัชกาลที่สามอีก มีพระราชดำรัส ตรัสชมเชยว่าภารกิจอย่างนี้ขุนเณรรู้และถนัดดี มีความชำนาญมาตั้งแต่ต้นกรุง
นายทหารผู้ใหญ่ซึ่งถนัดในทางประวัติศาสตร์อย่างอดีตแม่ทัพ พลโทรวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ได้พยายามค้นคว้าหาประวัติของท่านไว้พร้อมทั้งนำเสนอให้ชื่อของท่านไม่จางหายไปตามกาลเวลาโดยการขอให้ทางราชการเฉลิมนามของค่ายทหาร กรมรบพิเศษที่ 5 ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ให้เป็น “ค่ายขุนเณร” - เรียบง่ายตามสไตล์นักรบนินจาตัดคำว่าพระองค์เจ้าออก
เรื่องการสถาปนาบุคคลนอกสายเลือดราชวงศ์จักรีให้เป็นเจ้านั้น แท้แล้วก็ยังมีบุรุษลึกลับอีกท่านหนึ่งซึ่งได้รับสิทธิพิเศษนี้ก็คือกรมขุนสุนทรภูเบศร์ กรมขุนสุนทรภูเบศร์นี้ ท่านเป็นคนจีนชื่อว่าเรือง บ้านอยู่เมืองบางปลาสร้อยชลบุรี ท่านเป็นเศรษฐีผู้ใหญ่ในย่านนั้นมาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ว่ากันว่าท่าน เป็นผู้ให้การสนับสนุนทางลับโดยเฉพาะข้าวของเงินทองแก่กองทัพสมเด็จพระเจ้าตาก
ท่านเป็นเพื่อนตายสหายสนิทกับกรมพระราชวังบวรฯ (พระยาเสือ) ตั้งแต่คราวพระยาเสือยังรับราชการเป็นกรมพระตำรวจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน อาจพูดลำลองว่าท่านเปน CFO ของราชการในยามบ้านเมืองวุ่นวายก็ยังได้ ทีนี้ว่าในยามสงครามนั้น ใครจะถนัดอะไรก็ไม่รู้ล่ะถึงบทจะออกรบต้องรบได้หมด
กรมขุนสุนทรภูเบศร์ ท่านเปนจีนพ่อค้าคราวที่กรมพระราชวังบวรรับพระราชโองการขึ้นไปยันทัพพม่าที่เมืองเหนือ ท่านร่วมทัพตามเสด็จไปด้วย เมื่อถึงที่เมืองเถิน ชายแดนเมืองตากต่อแดนลำปาง กรมพระราชวังบวรทรงป่วยหนักเข้าใจว่าเป็นนิ่วท่านมีอาการไข้ขึ้นหนักมากยาก็เอาไม่อยู่ต้องนอนแช่ในน้ำเพื่อคลายความร้อนในร่างกาย ก็กรมขุนสุนทรภูเบศร์รับพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพขึ้นไปเชียงใหม่แทนพระองค์ ก็ปฎิบัติการรบได้ผลดี
ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระบรมราชโองการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าที่หม่อมเรือง ก่อนแล้วสถาปนาเปน ที่เจ้าบำเรอภูธร แล้วเป็นกรมหมื่นสุนทรภูเบศร์ จากนั้นจึงเป็นกรมขุน สร้างวังอยู่ตรงบางลำภู แถววัดชนะสงคราม ทายาทของกรมขุนผู้นี้ รัชกาลที่หกมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้นามสกุล ณ ชลบุรี
กลับมาที่ตำนานของทหารพรานไทย_ทหารพรานโลก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือการสงครามป้อมค่ายประชิด ณ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ว่าพื้นที่ที่ทหารราบทำการรบนั้น บางทีก็เป็นที่กันดารและลำบากมาก จึงทรงจัดระบบการปกครองของกองทัพไทยเสียใหม่ ให้กองทัพบกแทบทุกกอง มีหน่วยทหาร
ราบเบาหรือทหารพรานขึ้นมา
ที่ผ่านมานั้นในยุโรป ฝรั่งเศสเคยเอาชนะออสเตรียและปรัสเซียได้ ก็เพราะทหารพราน ครั้งหนึ่งที่เมืองเล็กซิงตันในทวีปอเมริกา (โดยฝ่ายอเมริกาซึ่งยังอยู่ในปกครองของอังกฤษ) ได้คิด “แข็งเมือง” ขึ้น กระทั่งทหารอังกฤษต้องใช้กำลังปราบปรามอย่างหนัก แต่ปรากฏว่าทหารอังกฤษสองพันคน สู้ทหารอเมริกาเหนือเพียง ๗๐ คนไม่ได้ ทั้งนี้เพราะทหารอังกฤษนั้นได้รับการฝึกฝนมาแบบค่อนข้างจะผู้ดีหรูหรา จะเข้าในที่รกที่ทึบก็ไม่ได้ เพราะไม่มีแบบแผน แถมยังไม่เคยฝึกมาก่อน ตรงกันข้ามกับทหารอเมริกาเหนือ ที่เคยสมบุกสมบันอยู่แต่ในป่า คุ้นเคยกับการเดินทางในที่รกทึบ มีความอดทนชำนาญป่าแบบพรานที่หาอยู่หากินตามภูมิประเทศ ปืนก็ใช้ได้อย่างแม่นยำ
ยามเมื่อต้องรบกับอังกฤษจึงใช้วิธีดักยิงขบวนของทหารอังกฤษได้เสมอๆ ยิ่งกว่านั้นยังเดินลัดเลาะในป่า แซงขบวนของทหารอังกฤษไปดักยิงข้างหน้าได้อีก การปราบปรามของอังกฤษดำเนินอยู่หลายปี แต่ไม่สำเร็จและกลายเปนว่าต้องให้อิสระภาพแก่อเมริกาเหนือในที่สุด
การรบของชาวอเมริกาเหนือแบบพรานจึงเป็นที่ยอมรับนับถือกันตั้งแต่บัดนั้นว่าเป็นผู้มีวิธีการรบอย่างใหม่บทเรียนครั้งนี้ทำให้อังกฤษ ต้องจัดให้มีหน่วยทหารราบชนิดเบาแบบเดียวกันนี้ขึ้นโดยลดอาวุธลดสัมภาระลงเพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว และเดินทางในที่รกทึบได้คล่อง นำกำลังเหล่านี้ไปผสมไว้ตามกรมทหารราบต่าง ๆ ข้างพระเจ้าเฟรดเดอร์ริคมหาราช ก็จัดทีมพวกพรานไว้เป็นทหารราบชนิดเบา มาตั้งแต่ก่อนการสงครามชิเลเซียครั้งที่ 1 เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วและทำการรบอย่างอิสระแยกจากกันไม่ต้องรวมตัวดำเนินการเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๐๐ ได้ทรงตั้งกองทหารพรานขึ้นหลายกองพัน โดยนำที่เคยหากินในทางพรานบ้าง ผู้ดูแต่รักษาป่าไม้ที่มีเจ้าของบ้าง (keeper) และผู้ล่าสัตว์ขายเลี้ยงชีพบ้าง มาบรรจุเป็นทหารประจำการในกองพันทหารพรานเหล่านี้ หลักการของพระเจ้าเฟรดเดอร์ริคเป็นที่ขึ้นชอบแก่ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป อีกหลายประเทศ จนถือเปนตัวอย่าง
ทหารพรานของรุสเซีย มีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. ๒๓๓๔ ขณะทำสงครามในฟินแลนด์ ส่วนประเทศในทวีปยุโรปภาคตะวันตกนั้นเล่า ทหารพรานกำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสก่อน โดยจะให้จัดกำลังทหารพรานนำหน้าหน่วยหลักเสมอ อัตราส่วนเป็นกองร้อยทหารราบธรรมดา ๗ กอง ต่อ กองร้อยทหารพราน ๑ กอง และกองร้อยทหารรักษาพระองค์อีก ๑ กองภาษาฝรั่งเศสเรียกทหารพรานว่า “โวลติเยอร์”
ในสมัยของนโปเลียน ได้กำหนดอัตราส่วนของทหารพรานไว้อีกว่า ถ้ามีทหารราบธรรมดา ๑๕ กรม จะต้องมีทหารพราน ๔ กรม
ทหารพรานไทยในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น มีกรมทหารบกพรานที่ ๓ (สระบุรี) ขึ้นตรงต่อกองพลทหารบกที่ ๓ (อยุธยา) ซึ่งไปขึ้นตรงต่อกองทัพน้อยทหารบกที่ ๓ (กรุงเทพ) อีกทีกับกรมทหารบกพรานที่ ๙ (จันทบุรี) ขึ้นตรงต่อกองพลทหารบกที่ ๙ (ฉะเชิงเทรา) และกองพลนี้ไปขึ้นตรงต่อกองทัพน้อยทหารบกที่ ๓ (กรุงเทพ) อีกทีเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีกรมทหารบกพรานที่ ๘ (เชียงราย) ขั้นตรงต่อกองพลทหารบกที่ ๔ (เชียงใหม่) ซึ่งขึ้นตรงกับ กองทัพน้อยทหารบกที่ ๒ (พิษณุโลก) เป็นที่น่าสังเกดว่า ทหารพรานในสมัย ร.๖ นั้นนั้นมักตั้งอยู่ในจังหวัดชายแดนเช่นเชียงรายหรือจันทบุรี อันเป็นย่านที่เกิดการแทรมซึมของข้าศึกสูง ที่จะอาศัยทำเป็นเส้นทางเข้ามาบ่อนทำลาย ทหารพรานถนัดเดินทางในป่า ย่อมสกัดและศึกษาลู่ทางป้องกันได้อยู่เปนประจำ
ส่วนนายพลกองแล คนดังของลาว ก็เป็นนายทหารราบเบาหรือทหารพรานกองรบพิเศษ มาก่อน
ฉะนั้นตราบใดที่โลกยังไม่หมดป่าตราบนั้นทหารพรานย่อมจะยังเป็น อมตะ และยังทันสมัยใหม่เสมอ คนจะลืมทหารพรานได้ก็ลืมได้แต่ชื่อ ส่วนหลักการนั้น การรบสมัยใหม่ใดๆ ไม่อาจจะทิ้งหลักการของทหารพรานไปเสียได้เลย