ครูหารายได้เสริมโดยรับจ้างทำผลงานประเมินวิทยฐานะถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง

21 มิ.ย. 2568 | 23:00 น.

ครูหารายได้เสริมโดยรับจ้างทำผลงานประเมินวิทยฐานะถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง : คอลัมน์อุทาหรณ์จากคดีปกครอง โดย...นายปกครอง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4107 หน้า 6

“หมดยุครายได้ทางเดียว” ประโยคไวรัลซึ่งเป็นที่กล่าวถึงและได้รับความสนใจจากผู้คนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงค่านิยมในยุคปัจจุบันที่ลำพังแต่เพียงการเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ประกอบกับการเปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่ายผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดช่องทางอาชีพใหม่ ๆ อย่างการขายของออนไลน์ การเป็นไลฟ์โค้ช หรือ กระทั่งการแนะนำการท่องเที่ยวที่สามารถทำเป็นอาชีพ และสร้างเม็ดเงินได้หากมีผู้ชม หรือผู้สนับสนุนมากพอ บางคนก็ดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว

ครับ ...ไหน ๆ ใคร กำลังคิดหารายได้เสริมชูมือให้นายปกครองดูหน่อยครับ ! 
ดังที่กล่าวแล้วว่า การมีรายได้เสริม หรือ การประกอบอาชีพรองเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน นับเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอนครับ แต่ทว่าจะต้องเป็นอาชีพเสริมที่ถูกต้อง หรือชอบด้วยกฎหมาย แบ่งเวลาให้ดี ไม่ให้กระทบต่อหน้าที่การงานประจำ

รวมทั้งไม่อาศัยช่องทางโซเชียลมีเดียกระทำสิ่งผิดกฎหมาย เฉกเช่น การพนันออนไลน์ หรือแชร์ลูกโซ่ที่ให้ผลในทางร้ายเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง และที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่มีอาชีพหลักรับราชการ เพราะนอกจากจะต้องรับโทษทางกฎหมายแล้ว ยังมีโทษทางวินัยรออยู่ด้วยครับ

สำหรับวันนี้ ... นายปกครองก็ได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับการหารายได้เสริมในทางที่ผิดของข้าราชการครูรายหนึ่ง ที่อาศัยความรู้ความสามารถของตนรับจ้างทำผลงานทางวิชาการให้ผู้อื่นโดยเรียกรับเงิน สุดท้ายไม่พ้นโทษทางวินัยถูกไล่ออก ! พฤติการณ์เช่นว่ามีรายละเอียดอย่างไร ไปดูกันครับ ... 

เรื่องราวของคดีมีอยู่ว่า ... ครูเพ็ญศรีถูกเพื่อนครู คือ นางมารตีร้องเรียนว่าได้รับจ้างทำผลงานทางวิชาการให้นางมารตี และครูรายอื่น ๆ โดยเรียกค่าตอบแทน ทั้งยังกล่าวอ้างว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้เรียกรับเงินจากครูผู้ส่งผลงานทางวิชาการ เพื่อให้ผ่านการประเมิน และหากนางมารตี สามารถติดต่อหาครูที่ต้องการให้ช่วยเหลือในการอ่านผลงานทางวิชาการได้ ก็จะได้ส่วนลดที่ต้องจ่ายให้ผู้บังคับบัญชา รวมทั้งยังได้ค่าตอบแทนในการดำเนินการเพิ่มอีกด้วย  ต่อมา ผลงานของนางมารตี มีปัญหาในการส่งประเมินจึงเกิดการร้องเรียนดังกล่าวขึ้น 

เมื่อผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทราบเรื่อง จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนครูเพ็ญศรี 1 ขั้น พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.ค.ศ.  จากนั้น ครูเพ็ญศรีได้ขอลาออกและได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ

ต่อมา อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ทำการแทน ก.ค.ศ.) ได้พิจารณา และมีมติว่า พฤติการณ์ครูเพ็ญศรี ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีรับจ้างจัดทำผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ในการเลื่อนวิทยฐานะ โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น  ยังไม่เหมาะสมแก่กรณีความผิด เห็นควรเพิ่มโทษเป็นไล่ออกจากราชการ 

ศึกษาธิการจังหวัดจึงได้มีคำสั่งเพิ่มโทษเป็นไล่ออกจากราชการ ครูเพ็ญศรีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อประธาน ก.ค.ศ. ว่าตนถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากมีปัญหาทะเลาะกันมาก่อน และเห็นว่าพ้นระยะเวลา 90 วันแล้ว ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ จึงยื่นฟ้องศึกษาธิการจังหวัด กระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 - ที่ 3 ตามลำดับ) ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งพิพาทและให้คืนสิทธิ ตลอดจนชดใช้เงินบำนาญแก่ตน

คดีมีประเด็นปัญหาว่า คำสั่งที่เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น เป็นไล่ออกจากราชการ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?

โดยที่มาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 บัญญัติว่า “ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ต้องไม่คัดลอก หรือ ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือ นำเอาผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือจ้าง วาน ใช้ให้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการ เพื่อไปใช้ในการเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ หรือ การให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น การฝ่าฝืนหลักการดังกล่าวนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ร่วมดำเนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือรับจ้างทำผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง”

ศาลปกครองสูงสุดท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำของพยานบุคคลตามรายงานของคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ที่ได้มีการสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากถึง 89 ราย โดยเป็นข้าราชการครูที่ทำและส่งผลงานทางวิชาการ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ได้จ่ายเงินให้ข้าราชการครูกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีนางมารตี รวมอยู่ด้วย เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือในการติดต่อผู้บริหารให้อ่านผลงานทางวิชาการเพื่อขอมี หรือ เลื่อนวิทยฐานะ 

โดย นางมารตี ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจว่า ผู้ฟ้องคดีตกลงช่วยเหลือทำผลงานทางวิชาการของนางมารตี โดยเรียกค่าใช่จ่ายในการดำเนินการ และได้ให้ข้อมูลพาดพิงไปถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดี ที่มีส่วนร่วมกระทำการเรื่องดังกล่าว โดยสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ เวลาสถานที่ที่นัดจ่ายเงิน ตลอดจนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับเงินดังกล่าวได้  

                                           ครูหารายได้เสริมโดยรับจ้างทำผลงานประเมินวิทยฐานะถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง

นอกจากนี้ นางมารตีไม่เคยมีความขัดแย้งกับผู้ฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่จะให้ถ้อยคำในลักษณะปรักปรำผู้ฟ้องคดี  อีกทั้งหากไม่ใช่เรื่องจริงย่อมไม่ให้ถ้อยคำที่เป็นผลร้าย หรือ เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง ซึ่งทำให้ต้องรับโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงด้วย รวมทั้งพยานบุคคลอื่นซึ่งเป็นข้าราชการครูที่ทำและส่งผลงานทางวิชาการ

ส่วนใหญ่ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกัน จึงเชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับจ้าง นางมารตี ทำผลงานทางวิชาการดังกล่าว และเกี่ยวข้องกับเรียกรับเงินโดยอ้างว่าจะสามารถดำเนินการให้ครูผู้ส่งผลงานทางวิชาการผ่านการประเมินเพื่อขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ  

การรับจ้างทำผลงานดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เรียกรับเงินหรือไม่ ย่อมเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในตำแหน่งหน้าที่ราชการของครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 91 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คำสั่งเพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีเป็นลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกฟ้อง (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 220/2567)

สรุปได้ว่า ... การที่ข้าราชการครูรับจ้างทำผลงานทางวิชาการให้ข้าราชการครูรายอื่น เพื่อขอมี หรือ เลื่อนวิทยฐานะนั้น ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ย่อมเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง ต่างก็มีความผิดตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547  

รวมทั้งจะต้องไม่เป็นการคัดลอก หรือ ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่น อันถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตราดังกล่าวเช่นเดียวกัน ซึ่งประเด็นนี้ก็นับเป็นประเด็นที่ต้องระมัดระวัง และมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแวดวงวิชาการปัจจุบัน  

(ปรึกษาการฟ้องคดีปกครองได้ที่ “สายด่วนศาลปกครอง 1355”)