“พระพุทธรูป” ถือเป็นรูปเคารพที่เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของศาสนาพุทธและพุทธศาสนิกชน ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา จึงมีพระพุทธรูป เป็นสิ่งสักการะบูชาประจำบ้านและให้ความเคารพเป็นอย่างสูง โดยไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้เพื่อการประดับตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือ ร้านค้า ในการจำหน่ายพระพุทธรูปหรือพระเครื่องก็ไม่นิยมใช้คำว่าซื้อขายพระ แต่ใช้คำว่า “เช่าพระ” แทน ด้วยเหตุนี้ ในการจัดทำและจำหน่ายพระพุทธรูป จึงต้องมีกฎหมายควบคุม
อุทาหรณ์จากคดีปกครองในฉบับนี้ ... นายปกครองจะพาไปดูกรณีผู้ประกอบการที่ผลิต หรือ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะส่วนพระพักตร์พระพุทธรูป ซึ่งกรมศิลปากรเห็นว่าเป็น “ศิลปวัตถุ” ซึ่งการนำออกไปนอกราชอาณาจักรจะต้องได้รับอนุญาตก่อน !
เรื่องราวของคดีมีอยู่ว่า ... ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้จดทะเบียนก่อตั้งผู้ฟ้องคดีที่ 2 (บริษัท ก.) โดยผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นกรรมการมีอำนาจลงนามแทนผู้ฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งผลิตและจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกจากหินทราย ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ OTOP และได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นภาพพระพักตร์พระพุทธรูปสีทองทรงเว้า ประดิษฐานบนฉากหลังรูปใบโพธิ์ และสะท้อนแสงธรรมชาติได้ เกิดเป็นภาพสะท้อนที่หันตามผู้มองได้ชัดเจน เรียกขานว่า “พระพุทธรูปมองตาม” หรือ “พระพุทธรูปหันได้” และจดแจ้งลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ต่อมา อธิบดีกรมศิลปากรมีคำสั่งว่า ผลิตภัณฑ์พระพุทธรูปมองตามดังกล่าว ถือเป็นศิลปวัตถุตามมาตรา 4 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเมื่อพิจารณา “พระพุทธรูปมองตาม” ซึ่งมีเฉพาะส่วนพระเศียร ถือว่าเป็นชิ้นส่วนของพระพุทธรูปที่ไม่ครบองค์ประกอบ อันต้องห้ามตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2509
ผู้ฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่า ผลิตภัณฑ์พระพุทธรูปมองตาม เป็นเพียงสินค้าของที่ระลึก OTOP ระดับ 5 ดาว ที่ผลิตขึ้นใหม่ ไม่เข้าข่ายเป็นศิลปวัตถุ จึงไม่ต้องห้ามส่งออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักร คำสั่งของอธิบดีกรมศิลปากร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้กรมศิลปากร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ชดใช้ค่าเสียหาย
คดีมีประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาว่า ... การที่อธิบดีกรมศิลปากรมีคำสั่งว่าผลิตภัณฑ์ “พระพุทธรูปมองตาม” เป็นศิลปวัตถุ และถือว่าเป็นชิ้นส่วนของพระพุทธรูปที่ไม่ครบองค์ประกอบ จึงต้องห้ามนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกไปนอกราชอาณาจักร ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือไม่?
ประเด็นนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า “ศิลปวัตถุ” ตามความหมายที่พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้หมายถึง สิ่งที่ทำด้วยฝีมืออย่างประณีตและมีคุณค่าสูงในทางศิลปะ ที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองดูแลรักษา เพื่อให้เป็นสมบัติของชาติสืบต่อไป
การที่บริษัท ก. ได้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “พระพุทธรูปมองตาม” ด้วยการหล่อขึ้นโดยใช้กรรมวิธีขึ้นรูปแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นการผลิตเชิงอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์จำนวนมาก โดยมีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ แม้ผลิตภัณฑ์จะมีความสวยงาม มีความคิดสร้างสรรค์ แต่โดยที่ลักษณะการผลิตเป็นการหล่อขึ้นรูปจากแม่พิมพ์ อันเป็นการผลิตในลักษณะอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตชิ้นงานได้เป็นจำนวนมากเพื่อการจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ไม่อาจถือได้ว่า เป็นสิ่งที่ทำด้วยฝีมืออย่างประณีต จึงไม่อาจถือว่าเป็นงานที่มีคุณค่าสูงทางศิลปะที่จำเป็นต้องมีการคุ้มครองและดูแลรักษาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว
ส่วนกรณีที่ผลิตภัณฑ์ “พระพุทธรูปมองตาม” มีลักษณะพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่งงุ้ม ขมวดพระเกศารูปก้นหอยขนาดใหญ่ และพระรัศมีเป็นเปลว ซึ่งพุทธศิลป์ดังกล่าวเป็นลักษณะของศิลปะสมัยสุโขทัย ที่ได้รับการยกย่องในระดับสากลว่า เป็นยุคทองของศิลปะไทย อันเป็นผลงานด้านศิลปะก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงคล้ายกันในลักษณะของศิลปะเท่านั้น มิได้เป็นการทำเทียมศิลปวัตถุ หรือ ส่วนของศิลปวัตถุที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามกฎหมาย หรือที่อยู่ในความครอบครองของกรมศิลปากร ที่จะถือว่าเป็นสิ่งเทียมศิลปวัตถุแต่อย่างใด ฉะนั้น “พระพุทธรูปมองตาม” จึงไม่ใช่ศิลปวัตถุ
นอกจากนี้ เมื่อ “พระพุทธรูปมองตาม” เป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะส่วนพระพักตร์พระพุทธรูปที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในชิ้นงาน จึงไม่ใช่ชิ้นส่วนของพระพุทธรูป และมิใช่สินค้าที่จะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากร ในการส่งออกผลิตภัณฑ์
คำสั่งห้ามนำ “พระพุทธรูปมองตาม” ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อบริษัท ก. (ผู้ฟ้องคดีที่ 2)
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แยกต่างหากจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้ฟ้องคดีที่ 2 ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำละเมิด
การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ศาลจึงไม่อาจมีคำพิพากษากำหนดคำบังคับตามคำขอดังกล่าวได้ คำวินิจฉัยของศาลปกครองชั้นต้นจึงชอบแล้ว พิพากษายืนให้เพิกถอนคำสั่งพิพาท (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1218/2567)
สรุปได้ว่า ... ชิ้นงาน หรือ ผลิตภัณฑ์ OTOP พระพุทธรูปมองตามที่พิพาท ซึ่งสามารถผลิตได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก และบุคคลทั่วไปสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ได้ ไม่อาจถือได้ว่าเป็นงานที่มีคุณค่าสูงทางศิลปะ และไม่เข้านิยามของคำว่า “ศิลปวัตถุ” ที่จำเป็นต้องมีการคุ้มครอง และดูแลรักษาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (มุ่งหมายปกป้องศิลปวัตถุที่สำคัญที่ทรงคุณค่าในทางศิลปะ มิใช่งานศิลปะฝีมือช่างทั่วไป)
รวมทั้งไม่ใช่ชิ้นส่วนของพระพุทธรูปเนื่องจากเป็นสิ่งที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในชิ้นงานนั้น (กฎหมายมุ่งหมายป้องกันการลัก และการทำลายพระพุทธรูป และเทวรูป ออกเป็นชิ้นส่วนเพื่อส่งออก) กรณีจึงไม่ต้องห้ามส่งออก และมิใช่สินค้าที่จะต้องได้รับอนุญาต จากอธิบดีกรมศิลปากรในการส่งออก นั่นเองครับ ...
(ปรึกษาคดีปกครองได้ที่ “สายด่วนศาลปกครอง 1355”)