สัญญาณความเสี่ยง ภายใต้ปัจจัยเชิงลบเศรษฐกิจไทย

05 พ.ย. 2568 | 06:36 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2568 | 06:50 น.

สัญญาณความเสี่ยง ภายใต้ปัจจัยเชิงลบเศรษฐกิจไทย : บทความ โดย...ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4146

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งจากภายนอกเช่นมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และความขัดแย้งชายแดน และจากภายในคือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่สร้างภาวะสุญญากาศในการแก้ปัญหา
  • กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ลดลง ประกอบกับภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่องและหนี้เสียเพิ่มขึ้น
  • มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือโตเพียง 2.0-2.2% และคาดว่าปีหน้าอาจขยายตัวต่ำสุดในภูมิภาคที่ 1.6-1.8% สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจ
  • แม้ภาคส่งออกจะขยายตัวได้ดี และเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่การเติบโตกระจุกตัวในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรติดลบซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร

บริบทเศรษฐกิจไทยซึ่งเหลือเวลาแค่สองเดือนจะหมดปี ที่ผ่านมาเผชิญกับปัจจัยเชิงลบประดังเข้ามารอบด้าน ต้นปีจ่อถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าขาดดุลการค้าหรือ “Reciprocal Trade” ช่วงแรกไทยถูกเรียกเก็บอัตราร้อยละ 36 ต่อมาภายหลังเจรจาเหลือร้อยละ 19 

กลางปีปัญหาขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา มีการปะทะเป็นสงครามย่อยกระทบส่งออกผ่านชายแดนมูลค่าปีละมากกว่า 1.428 แสนล้านบาท ตามด้วยวิกฤตการเมืองศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ได้รัฐบาลเสียงข้างน้อยเข้ามาแบบเฉพาะกิจเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ โดยมีเงื่อนไขต้องยุบสภาภายในเดือนมกราคมปีหน้า กว่าจะเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่อยู่ในช่วงเดือนเมษายน 

สภาวะดังกล่าวอาจทำให้เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง มีผลต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมามีแต่ทรงกับทรุด สะท้อนจากการบริโภคกำลังซื้อประชาชนที่อ่อนแอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้ลดลงและกับดักหนี้ครัวเรือน

อีกทั้งภาคท่องเที่ยวต่างชาติไม่ฟื้นตัว นับแต่วิกฤตโควิด-19 สถานะที่เป็นอยู่คือ การขาดสภาพคล่องทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทำให้หนี้เสียและหนี้เปราะบางสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อกระทบเป็นลูกโซ่ 

รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ใช้เงินจำนวน 8.4 หมื่นล้านบาท มีผู้เข้าถึงประมาณ 20 ล้านคน แต่ด้วยเงินไม่มากจำกัดใช้วันละไม่เกิน 200 บาท แค่สิบวัน หรือ ไม่เกินสิบสองวันเงินก็หมดแล้ว คงช่วยดึงเศรษฐกิจได้บ้างดีกว่าไม่ทำอะไร 

สภาวะที่ไม่เอื้อเช่นนี้ มีการปรับลด GDP ปีนี้ อาจขยายตัวได้ร้อยละ 2.0 – 2.2 ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวได้ร้อยละ 2.5 และปีหน้าจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ที่มีความเปราะบางและไม่แน่นอนสูงเศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ร้อยละ 1.6–1.8 ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปากท้องและการจ้างงาน มีความไม่แน่นอนสูง สัญญานทางบวกซึ่งพอเริ่มเห็นซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2569 เกี่ยวข้องกับปัจจัยเอื้อดังต่อไปนี้

ประการแรก ภาคส่งออกภายใต้ความแปรปรวนจากภาวะเศรษฐกิจโลกมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนทำให้สกุลบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5.37 ที่น่าประหลาดใจการส่งออกของไทย ยังสามารถขยายตัวได้ดีเป็นเสาค้ำยันเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศ สะท้อนจากอัตราว่างงานล่าสุดร้อยละ 0.79 และอัตราว่างงานประกันสังคมมาตรา 33 ร้อยละ 2.34 

ขณะที่เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักล้วนออก “อาการเดี้ยง” กล่าวคือช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ย.) ส่งออกขยายตัวเชิงเหรียญสหรัฐฯ สูงถึงร้อยละ 13.94 หากเป็นอัตราเงินบาทขยายตัวได้ร้อยละ 5.58 ข้อมูลล่าสุด ส่งออกเดือนกันยายน ขยายตัวถึงร้อยละ 19.0 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

หากส่องกล้องพบว่า สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวได้ถึงร้อยละ 26.4 ตรงข้ามกับสินค้าเกษตร-ประมง-ปศุสัตว์ส่งออกขยายตัวติดลบ ร้อยละ 18.2 ทำให้มีผลต่อราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และรายได้ครัวเรือนลดลง ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือน  

การที่ส่งออกช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้ดี มาจากมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ 9 เดือนแรกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 28.57 แม้แต่เดือนกันยายน ขยายตัวได้ร้อยละ 35.34 แสดงว่า มาตรการภาษีของ “ทรัมป์” ไม่ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดส่งออก เนื่องจากอัตราภาษีเรียกเก็บของสหรัฐฯ ในภูมิภาคใกล้เคียงกัน 

ที่น่าวิตกคือ การส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับสองลดลงต่อเนื่อง เดือนสิงหาคม ขยายตัวได้ร้อยละ 5.8 และเดือนกันยายน ขยายตัวได้ร้อยละ 3.22 จากที่ก่อนหน้าขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20-23 

ทำให้ซับพลายสินค้าของจีนมีส่วนเกินสูง และไหลบ่าด้วยราคาต่ำกว่าทุน เข้ามาแย่งตลาดของไทย หากไม่มีมาตรการประเภท “Anti Dumpling” จะทำให้ผู้ผลิตของไทยแข่งขันไม่ได้ กระทบไปถึงการจ้างงาน

ประการที่สอง สถานการณ์ขัดแย้งกัมพูชาเริ่มคลี่คลาย เดิมพันทางเศรษฐกิจมูลค่าส่งออก 3.236 แสนล้านบาท เป็นการส่งออกผ่านชายแดนมูลค่า 1.745 แสนล้านบาท ปัจจุบันมาตรการปิดด่านยังคงมีอยู่ทำให้การส่งออกในส่วนนี้เป็น “0” ช่วงก่อนมีการปะทะกันส่งออกไปกัมพูชา เฉลี่ยเดือนละ 2.7 หมื่นล้านบาท อัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 42.7 

ปัจจัยบวกที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2569 คือ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมาสามารถทำข้อตกลงสันติภาพ “Thai-Cambodia Peace Deal” ณ นครกัวลาลัมเปอร์ โดยมีประธานอาเซียน และ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเป็นสักขีพยาน ภายใต้ปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อกัมพูชาทำให้ไม่มีข้อต่อรอง และทางเลือก จนนำไปสู่การลงนามสันติภาพ อาจเป็นการยุติปัญหา (ชั่วคราว) ได้ระดับหนึ่ง และอาจนำไปสู่การเปิดด่านชายแดน ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจทั้งด้านการค้า-บริการ และความเชื่อมั่นการท่องเที่ยว แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับทางกัมพูชาว่า จะทำตามข้อตกลงมากน้อยเพียงใด

ประการที่สาม การเจรจาภาษีการค้า “Reciprocal Trade” กับสหรัฐอเมริกา มีความคืบหน้าหลังจากไทยสามารถเข้าถึงปธน.ทรัมป์ ได้มากขึ้น และ นายกฯ อนุทิน เชิญ ทรัมป์ ให้มาเยือนประเทศไทย ล่าสุด มีการลงรายละเอียดการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมจากสหรัฐฯ อัตราร้อยละ 99 และรายละเอียดต่างๆ ที่ไทยไปทำความข้อตกลง 

เช่น การนำเข้าสินค้าเกษตร การจัดซื้อเครื่องบิน 80 ลำ การซื้อเชื้อเพลิง รวมทั้งการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการสวมสิทธิ์ และแหล่งกำเนิดสินค้าเกี่ยวข้องกับสัดส่วนมูลค่าเพิ่มของวัตถุดิบภายในภูมิภาค (RVC : Reginal Value Content) ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ 

ประการที่สี่ ความชัดเจนด้านเสถียรภาพการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงลบต่อเศรษฐกิจ ด้วยการเข้ามาของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเข้ามาแก้รัฐธรรมนูญ และเงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ประมาณปลายเดือนมกราคม หรือ อาจเร็วกว่า ทำให้เห็นทิศทางการเมืองได้ชัดเจนว่า ภายในไตรมาสแรกปีหน้า จะมีการ “Zero Reset” ด้วยการเลือกตั้งใหม่ ส่วนจะได้รัฐบาลผสมข้ามขั้ว หรือจะติดล็อกเป็นสามก๊กเหมือนเดิม ค่อยไปลุ้นหลังเลือกตั้ง แต่ประการสำคัญคงปลดล็อกการเมืองติดกับดักได้ระดับหนึ่ง  

เศรษฐกิจปีนี้เหลือเวลาแค่สองเดือนภายใต้รัฐบาลเฉพาะกิจ รอวันยุบสภา ใน 2 - 3 เดือนข้างหน้า คงหวังพึ่งอะไรไม่ได้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 จะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋า ซึ่งแทบจะฉีก 

                    สัญญาณความเสี่ยง ภายใต้ปัจจัยเชิงลบเศรษฐกิจไทย

สำหรับปี 2569 ปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยยังขาดความชัดเจน เป็นปัญหาทางโครงสร้างทั้งด้านการเมือง มีช่องว่างต้องรอรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง อย่างเร็วต้นเดือนเมษายนปีหน้า ทำให้เกิดสุญญากาศในการแก้ปัญหาและฟื้นเชื่อมั่น

ด้านหนี้ประชาชนซึ่งสูงทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ทำให้ถ่วงกำลังซื้อมีความเปราะบาง ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิม เศรษฐกิจปีหน้าอาจอยู่ในอาการซบเซา และมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยภายในและภายนอกเป็นความท้าทายและโจทย์ยากของรัฐบาล 

ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกมีความแปรปรวน ผสมโรงกับมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา และข้อจำกัดจากเสถียรภาพทางการเมืองไทย เป็นปัญหาทางโครงสร้างเป็นโจทย์แก้ยาก ที่ไทยจะต้องเผชิญ

เศรษฐกิจปีหน้าอาจขยายในอัตราที่ต่ำกว่าปีนี้ ซึ่งนับว่าแย่แล้วคงต้องรับมือหนักกว่าเดิม เป็นความเสี่ยงของภาคธุรกิจ ตลอดจนมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องก้าวผ่านขึ้นอยู่กับศักยภาพของธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน

โหมดการทำธุรกิจของ SMEs คือ ความอยู่รอดประคองตัวไม่ให้ “เจ๊ง” ปัญหาการขาดสภาพคล่อง หรือ “Liquidity Effect” ซึ่งกำลังก่อตัวเป็นวิกฤตระดับประเทศ

ขณะที่นายแบงค์ดังๆ หลายธนาคารออกมาระบุว่า มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ด้วยการตั้งการ์ดลดความเสี่ยงของสถาบันการเงิน นำไปสู่การพิจารณาสินเชื่อระดับเข้มข้นและซับซ้อนสูงสุด (Management Overlay) จะทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ขาดสภาพคล่อง มีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยทำให้เศรษฐกิจไทย หรือ GDP ขยายตัวต่ำสุดในภูมิภาค 

ฉากทัศน์เศรษฐกิจปีนี้ตลอดไปจนถึงปีหน้า มีแนวโน้มผันผวนและเปราะบาง รวมถึงมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะเสถียรภาพทางการเมือง สอดคล้องกับล่าสุด “IMF” ออกแถลงการณ์เตือนว่า ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปี 2569 เข้าสู่ภาวะผันผวนและไร้ทิศทาง เศรษฐกิจไทยขาดแรงหนุนเผชิญปัจจัยเชิงลบ ทั้งจากภายนอกและภายใน ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนแอหนี้-ครัวเรือนสูง และภาคท่องเที่ยวไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 

ภาคธุรกิจและประชาชนขาดสภาพคล่อง นำไปสู่วิกฤตหนี้เสียกระทบเป็นลูกโซ่ ภาวะเช่นนี้ส่งผลทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยโตต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่องเป็นทศวรรษ เสมือนเป็นกับดักต่อความอยู่รอดของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กที่มีขีดความสามารถแข่งขันต่ำทั้งด้านนวัตกรรมและราคา เกี่ยวข้องไปถึงเสถียรภาพมนุษย์เงินเดือนและแรงงาน ซึ่งทำงานอยู่ในภาคส่วนเหล่านี้ล้วนมีความเสี่ยงที่จะต้องหาทางออก.....ประเด็นคือ ทางออกอยู่ตรงไหน

บทความ โดย...ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4146