ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ และการชิงความเป็นเลิศทาง AI ที่กินข้อมูลเป็นอาหาร ประเทศมหาอำนาจต่างๆ พยายามช่วงชิงความได้เปรียบจากการครอบงำทางเทคโนโลยี ประเทศเล็กอย่างเราต้องรู้เท่าทันและอยู่ให้เป็น เลือกและใช้เทคโนโลยีอย่างเข้าใจและรู้เท่าทัน ที่สำคัญ ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสภาวะการที่ไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจใครได้
1. US CLOUD ACT ใน 60 วินาที
- ออกมาในปี 2018 แก้ไขกฎหมาย Stored Communications Act (SCA)
- บังคับให้ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติสหรัฐ (หรือบริษัทใดที่ “อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาล สหรัฐ”) ส่งมอบข้อมูลที่ตนควบคุม ไม่ว่าเซิร์ฟเวอร์นั้นจะตั้งอยู่ในประเทศใด
- เพิ่มกลไก “Executive Agreement” ให้บางประเทศที่ผ่าน “มาตรฐานสิทธิมนุษยชน” ทำข้อตกลงรับ-ส่งข้อมูลกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐโดยตรง (สหราชอาณาจักรและออสเตรเลียลงนามแล้ว)
- บริษัทสามารถขอให้ศาลสหรัฐ “ผ่อนปรน” หากหมายค้นชนกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของต่างชาติ แต่ภาระโต้แย้งตกที่บริษัท ไม่ใช่รัฐบาลผู้ได้รับผลกระทบ
3. บทเรียนจากต่างประเทศ
- ฝรั่งเศส - ตั้ง “SecNumCloud” มาตรฐานคลาวด์ที่ผู้ให้บริการต้องพิสูจน์ว่าไม่ตกอยู่ภายใต้ CLOUD ACT และพัฒนาคลาวด์ร่วมกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ (Orange, Thales)
- เยอรมนี - โครงการ GAIA-X ผลักดันสถาปัตยกรรมคลาวด์แบบ federated กระจายศูนย์ พร้อมนโยบายให้ข้อมูลภาครัฐอยู่ใน “Trusted Cloud”
- ออสเตรเลีย - ยอมรับข้อตกลง Executive Agreement แต่ออกร่างกฎหมาย “Critical Infrastructure Risk Management” บังคับเก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น (customer-held key)
4. ทางเลือกและคำแนะนำสำหรับประเทศไทย
การย้ายข้อมูลขึ้นคลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล
แต่คือการส่งออก เขตอำนาจศาล ไปพร้อมกัน
CLOUD ACT ชี้ให้เห็นว่าเส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูลอย่างแท้จริง เมื่อองค์กรไทย รัฐหรือเอกชน พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสัญชาติสหรัฐ จึงต้อง “คิดเผื่อ” กฎหมายต่างแดนไว้ตั้งแต่วันออกแบบสถาปัตยกรรม ไม่ใช่รอให้เกิดข้อพิพาทแล้วค่อยหาทางหนีทีไล่
ก้าวแรกวันนี้ คือประเมินประเภทข้อมูล → กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ → ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส → วางระบบเข้ารหัสและกุญแจในมือเราเอง เพื่อตอบโจทย์คล่องตัวธุรกิจภายใต้กรอบอธิปไตยไซเบอร์ ไทยอย่างสมดุล