svasdssvasds
logo-pwa

เพิ่ม thansettakij

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด
thansettakij

สองค่ายยักษ์ใหญ่ แห่งวงการ K-POP เดินหน้าตะลุย NFT

12 มีนาคม 2565

ผู้นำวิสัยทัศน์ ธนภัทร ศรีบุญเรือง Corporate Communication Manager ของ IPG Mediabrands Thailand

ในปัจจุบันในวงการเงินการลงทุน “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มาแรง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ให้ความสนใจ และหันมาลงทุนกันเป็นจำนวนมาก “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency)  หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า “คริปโตฯ” คือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) หรือสกุลเงินเข้ารหัสที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก

 

ล่าสุด SM Entertainment และ YG Entertainment สองบริษัทด้านความบันเทิงชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ ต่างประกาศร่วมมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อ-ขาย และแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี อันดับหนึ่งของโลก โดยจะเข้ามาดูแลในด้าน NFT (Non-Fungible Token) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทหนึ่งที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ และไม่สามารถทำซ้ำหรือดัดแปลงได้ สองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง SM และ YG จึงคว้าโอกาสพัฒนาประสบการณ์และบริการสำหรับแฟนคลับทั่วโลก

SM Entertainment

การร่วมมือกันระหว่าง YG Entertainment ต้นสังกัดของศิลปินชื่อดังอย่าง BIGBANG, BLACKPINK, WINNER ฯลฯ และ Binance ในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดประตูสู่จักรวาล Metaverse ที่เข้ามาช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงศิลปินมากขึ้น ทำให้แฟนคลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับศิลปินได้บนโลกเสมือน ซึ่งใช้กลยุทธ์ดึงดูดใจเหล่าแฟนคลับด้วยสิทธิพิเศษมากมาย

SM Entertainment

อาทิ การแสดงที่ไม่มีให้รับชมบนโลกจริง การรับสินค้าสุดพิเศษ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแฟนคลับและศิลปิน ทั้งนี้ ยังมีการผลิต NFT ที่ eco-friendly และการพัฒนาเกมบน Binance Smart Chain อีกด้วย เพื่อสร้างบริการที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์สำหรับแฟนคลับ 

 

ส่วนทางด้านของ SM Entertainment ต้นสังกัดของศิลปินชื่อดังอย่าง Girls’ Generation, EXO, Red Velvet, NCT, aespa ฯลฯ ก็ได้ร่วมมือกับ Binance เพื่อพัฒนาระบบนิเวศที่เรียกว่า Play-to-Create (P2C) คือ ระบบที่เปิดโอกาสให้เหล่าแฟนคลับหรือครีเอเตอร์สามารถสร้างสรรค์ผลงาน หรือเนื้อหาจากศิลปินที่อยู่ในรูปของ NFT ได้ เช่น เกม เพลง หรือสินค้า

 

นอกจากนี้ยังได้รับรายได้จากการผลิตนั้นอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจใหม่ที่ทำให้แฟนคลับสามารถทำรายได้จากศิลปินที่ตนชื่นชอบ นอกจากจะสร้างการมีส่วนร่วมของแฟนคลับ ยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม K-POP อีกด้วย

YG Entertainment

จากความพยายามที่ทั้งสองค่ายดึงเทคโนโลยีเข้ามาผนวกกับการทำธุรกิจความบันเทิงนั้น เป็นหนึ่งวิธีที่สร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล โมเดลธุรกิจแบบ “ติ่งไปด้วยและทำเงินไปด้วย” หรืออธิบายให้ง่ายขึ้น ก็คือ การที่แฟนคลับได้สนับสนุนศิลปินไปพร้อม ๆ กับการสร้างรายได้ ซึ่งโมเดลธุรกิจในรูปแบบนี้ จะส่งผลดีต่อการจัดลำดับและความนิยมของศิลปิน

 

อีกทั้งยังสามารถทำเงินให้กับต้นสังกัดได้อีกด้วย นี่อาจเรียกได้ว่าเป็น win-win situation สำหรับแวดวง K-POP เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ การบริการต่าง ๆ ยังเข้ามามาทลายข้อจำกัดในด้านสถานที่ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก ก็สามารถเข้าถึงประสบการณ์เหล่านี้ได้เช่นกัน

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับแวดวงความบันเทิง ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มช่องทางการหารายได้ให้กับธุรกิจ ดึงดูดผู้ใช้งานด้วยประสบการณ์และการลงทุนที่แปลกใหม่ แฟนคลับยังได้สนับสนุนศิลปินที่ตนชื่นชอบ และในคราวเดียวกันยังสร้างผลประโยชน์ทางรายได้ให้กับตนเองอีกด้วย คาดว่าในอนาคตจะมีบริการอื่นอีกมากที่ผันตัวเข้าสู่โลกออนไลน์

 

อาทิ การจัดอันดับศิลปินหรือการรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งเดิมที การได้มาซึ่งสิทธิพิเศษเหล่านั้น อาจต้องแลกมาด้วย “การทำยอดการซื้ออัลบั้มหรือสินค้า ในปริมาณมาก” แต่หลังจากที่ได้สิทธิพิเศษสมใจแล้ว อัลบั้มหรือสินค้าเหล่านั้นอาจสูญเปล่า จึงถูกตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

YG Entertainment

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้เห็นอุตสาหกรรมด้านความบันเทิงทั้งไทยและต่างชาติ นำเทคโนโลยีมาปรับเปลี่ยนรูปแบบของการจัดลำดับ และเปลี่ยนอัลบั้มหรือสินค้าอื่นๆ มาอยู่ในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลแทน เนื่องจากจะทำให้สินค้าเหล่านี้มีมูลค่าอยู่เสมอ ทั้งยังสามารถซื้อเพื่อการลงทุนได้เช่นเดียวกัน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม K-POP ไปพร้อมกับการเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในด้านความบันเทิง อีกทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,764 วันที่ 10 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2565