การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คือความงดงามของประชาธิปไตย

23 ธ.ค. 2564 | 04:56 น.

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

ในมุมมองของการเมือง การเลือกตั้ง ในระบอบประชาธิปไตย ในโลกของความเป็นจริง ย่อมมีทั้งด้านที่สว่าง งดงาม ก้าวหน้าและสร้างสรรค์ กับมุมด้านมืด ความสกปรก และความล้าหลังควบคู่กันไป เหมือนเหรียญที่มีสองด้านเป็นธรรมดา ความเป็นด้านบวกและด้านลบ ขาวหรือดำในการเมืองระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่บรรดาปราชญ์ทางการเมืองของโลก ล้วนเคยกล่าวไว้เป็นข้อคิดและสติเตือนใจแก่ประชาชนมาอย่างยาวนานหลายร้อยปีแล้ว 


ยกตัวอย่างแนวคิดของอริสโตเติล (Aristotle) มองว่ารูปแบบการปกครองที่ดี 3 รูปแบบคือ 

1.รูปแบบราชาธิปไตย ที่มีประมุขหรือผู้ทรงอำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว แต่ทำเพื่อส่วนรวมไม่หาประโยชน์เข้าตนเอง 


2.รูปแบบการปกครองอภิชนาธิปไตย โดยมีกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มๆหนึ่งเป็นตัวแทนของผู้คนที่แต่งตั้งตนขึ้นเอง มีใช้กันอย่างกว้างขวางในอดีต อาจจะคล้ายเมืองไทยก่อนมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2564 
 

3.รูปแบบการปกครองในแบบโพลิตี้ หรือ การปกครองโดยกลุ่มคนที่มีจำนวนมากเข้ามาดูแลประเทศ โดยมีการจัดตั้งผู้บริหารต่างๆ จากเหล่าประชาชนจำนวนมาก โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของกฎหมาย ซึ่งก็คือระบอบประชาธิปไตยที่เราเรียกขานกันในปัจจุบันนี้ นั่นเอง โดยการปกครองในรูปแบบนี้ อริสโตเติลมองว่าเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด และมีความยุติธรรมมากที่สุด เนื่องจากการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเหล่าประชากรในประเทศ และยังช่วยถ่วงดุลยอำนาจต่างๆจากประชาชนในประเทศด้วยตนเอง


ส่วนการปกครองที่เขาเห็นว่าไม่ดีแน่ๆคือ 1.การปกครองของทรราชย์ที่นำผลประโยชน์ต่างๆเข้าตนเองแทนที่จะทำเพื่อคนในประเทศ 2.การปกครองแบบคณาธิปไตย ที่เป็นการปกครองของกลุ่มคนคนเดียวไม่กี่คน แต่สรรหาผลประโยชน์เข้าองค์กรของตน เพื่อความสุขและความสบายของพรรคพวกของตน ดังเช่นในอดีตที่เมืองไทยล้วนเคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น


อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ศรัทธาและให้การยอมรับอย่างสูงในระบอบประชาธิปไตย แต่เพลโต(Plato) ซึ่งเป็นอาจารย์ของอริสโตเติล ยังมีความเห็นต่างโดยเขาเห็นว่า "การปกครองเป็นของคนจำนวนน้อยที่มีปัญญา และมีความเฉลียวฉลาด ผู้ที่ได้เรียนรู้ถึงศาสตร์การปกครองเท่านั้น จึงสมควรเป็นผู้ปกครอง" 


และยังมองว่า กฎหมายถ้าอยู่ในมือของคนชั่วก็อาจทำลายคนดีๆได้ เพลโต้จึงได้แสดงทฤษฎีทางการเมืองของตนเอง ในลักษณะที่โจมตีประชาธิปไตยอย่างรุนแรง และเน้นการปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นนักปราชญ์มากกว่าจะยึดตัวบทกฎหมายเป็นที่ตั้ง ซึ่งความส่วนนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า แม้นักการเมือง นักเลือกตั้ง จะได้อำนาจมาโดยชอบด้วยกฎหมาย 


แต่ถ้าหากประชาชนไปเลือกเอาคนชั่วเข้ามา ประเทศชาติบ้านเมืองก็บรรลัยได้เช่นกัน นี่จึงน่าจะเป็นด้านมืดของประชาธิปไตย ที่ทำให้ประชาชนพึงระมัดระวังในการใช้สิทธิ์ของตนเอง ในการเลือกผู้ปกครองประเทศ หรือบริหารบ้านเมือง


หันมาพิจารณาการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่กำลังจะมาถึงซึ่งเชื่อว่า น่าจะไม่ถึงกลางปีหน้า คน กทม.คงจะได้ใช้สิทธิ์เลือกผู้ปกครองมาบริหารเมือง ซึ่งเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีปัญหาซับซ้อนมากมายให้แก้ไข จำเป็นที่สุดที่จะต้องได้ผู้บริหารและผู้ปกครอง ที่ดีมีความรู้ความสามารถและมากประสบการณ์ ทั้งต้องมีวิสัยทัศน์และแนวคิดในการบริหารจัดการกับเมืองขนาดใหญ่ให้ทันโลกทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคดิจิทัล อันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนต้องปรับเปลี่ยนไป


จากการประกาศตัวของผู้อาสาพร้อมสมัครลงเลือกตั้งให้คน กทม.เลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ที่แน่ๆ จำนวน 3 ท่านที่กล้าหาญเปิดเผยตัวต่อประชาชน คือ 1.คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 2. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ "ดร.เอ้" 3.คุณรสนา โตสิตระกูล โดยทั้ง 3 ท่าน จะโดยสังกัดพรรคหรือในนามอิสระ ก็ล้วนแต่ต้องถือว่าเป็นบุคคลคุณภาพ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งทั้งสิ้น ต่างคนต่างมีดีแตกต่างกัน ถือได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์กับ กทม. ชนิดที่คน กทม.เลือกใครก็ได้ แล้วแต่จะรักหรือชอบใคร เชื่อว่าทั้ง 3 ท่านคงไม่ทำให้ชาว กทม.ผิดหวัง 


และเมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้งที่มีกำหนดแน่นอน ยังจะมีคนทยอยเปิดตัวออกมาให้เห็นอีกหลายท่าน แต่อยางน้อยเท่าที่เปิดตัวมาแล้ว ก็ทำให้มองเห็นบรรยากาศของการเลือกตั้งว่า คงเป็นไปในทิศทางการแข่งขัน ที่แต่ละคนแต่ละทีมของผู้สมัคร แข่งขันกันนำเสนอสิ่งดีๆ นโยบายใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาเมืองให้กับคน กทม.ได้พิจารณาเลือกและตัดสินใจ 


การเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นไปเหมือนการแข่งขันกีฬา เมื่อชิงชนะเลิศกันเป็นมือ 1 ซึ่งไม่ว่าใครชนะ ก็เป็นชัยชนะของคนดีคนเก่ง เพื่อให้ได้คนดีคนเก่งที่สุดมารับใช้ประชาชน มากกว่าการจะเล่นกันแบบสกปรกทางการเมือง เพราะเป็นการเลือกเอาคนดีคนเก่ง ในหมู่ของคนดีคนเก่งที่เสนอตัวมาให้ประชาชนเลือก นั่นคือเลือกอย่างไร ก็ต้องได้คนดีคนเก่งมาทำงานให้ประชาชน


บรรยากาศการเมือง การเลือกตั้งเช่นนี้ จึงเป็นความงดงามของประชาธิปไตย เป็นด้านสว่างด้านก้าวหน้า มิใช่ด้านมืดหรือความล้าหลังเพราะถ้าประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง มีแต่เจ้าพ่อมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล นักเลงอันธพาล พ่อค้ายาเสพติด นายบ่อน พวกธุรกิจสีเทา คนไม่ดี เสนอตัวมาให้ประชาชนเลือก โดยแฝงตัวและอาศัยช่องทางการเลือกตั้ง เพื่อฟอกตัวเอง ประชาชนเลือกอย่างไรก็หนีไม่พ้น ที่จะได้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง กรณีเช่นนี้ ย่อมเป็นวิบากกรรมของประชาธิปไตยอย่างที่นักปราชญ์ผู้รู้เตือนสติประชาชน


เมื่อนานๆ ทีจะได้เห็นบรรยากาศและการแข่งขัน ที่เป็นความงดงามของประชาธิปไตยเช่นนี้ คน กทม.คงต้องตื่นตัวออกไปใช้สิทธิกันให้มากที่สุด เพื่อแสดงพลังให้เห็นว่า ประชาชนต้องการประชาธิปไตยที่เป็นการส่งเสริมคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยที่เปิดทางให้คนเลวมีอำนาจและปกครองบ้านเมืองแต่อย่างใด 


โลกใหม่ยุคใหม่เจริญด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จิตสำนึกทางการเมืองของคน ก็จำเป็นต้องยกระดับให้สูงขึ้น คุณภาพของนักการเมืองที่ประชาชนต้องการ ก็จำเป็นต้องมีคุณภาพที่สูงยิ่งขึ้นไปด้วยเช่นกัน การที่มีคนดีๆกล้าประกาศตัว เสนอให้ประชาชนเลือก จึงขอปรบมือต้อนรับและขอส่งเสริมให้คนดีทั้งหลาย กล้าเสนอตัวลงสู่การเมือง การเลือกตั้งให้มากๆ มาช่วยกันเอาน้ำดีไล่น้ำเสียออกไปจากการเมืองเถอะครับ เพื่อให้ประชาธิปไตยงดงาม เป็นทางเลือกให้กับประเทศของเรา