คลายล็อกดาวน์ เปิดเมือง ฟื้นเศรษฐกิจ

29 ก.ย. 2564 | 05:30 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...กาแฟขม

***สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังคงเกินระดับ 1 หมื่นเล็กน้อย ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิดกันแล้ว ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด 19 ศบค.ผ่อนคลายกิจกรรมที่เคยปิดล็อกเข้มไว้มากขึ้น เช่น ร้านเสริมสวย นวดและสปา สถานเสริมความงาม โรงภาพยนตร์ และเล่นดนตรีในร้านอาหารได้ตามปกติ รวมทั้งลดระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถานเป็น 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ก็ถือเป็นข่าวดี และเป็นการส่งสัญญาณสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนที่เหลือ 
 

*** เปิดได้ผ่อนคลายได้ แต่การ์ดอย่าตก ที่สำคัญ ไม่ไหวอย่าฝืน อย่าเร่งเร้าจัดกิจกรรมรวมคน ชุมนุมคนมากในระหว่างนี้ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่มาก กรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับจังหวัดชายฝั่งอันดามัน กระบี่ พังงา ภูเก็ต ก็ชัดเจนไม่มีความยืดหยุ่น จัดงานไปในสถานการณ์ความกังวลเพราะผู้ติดเชื้อยังคงมีจำนวนสูงในภูเก็ตและโดยเฉพาะกระบี่ ที่เสียงยังมีตามมา เหมาะสมหรือไม่ ในสถานการณ์นี้แม้จัดงานกันแบบเว้นระยะห่าง ควบคุมไม่ให้เกิน 300 คนในงาน แต่ตัดภาพอีกด้าน รพ.สนามของกระบี่เต็มแน่น ถ้าในงานมีการติดเชื้อเพิ่มแล้วจะรับผิดชอบอย่างไร ต้องถามไปยัง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมต.ท่องเที่ยวและกีฬา กำกับดูแลการท่องเที่ยว
 

*** เด้งรับทันควันกับการเปิดเมือง สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเมืองผ่อนคลาย ประชาชนก็เริ่มมีความมั่นใจในการกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า การจับจ่ายใช้สอยทางเศรษฐกิจในเดือนนี้ น่าเพิ่มมาเป็น 10,000-12,000 ล้านบาทต่อวัน และมองว่าการผ่อนคลายในเดือนตุลาคมนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ให้กลับมาเป็นบวกได้
 

*** แผนเปิดเมืองที่จะทยอยเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา การวางมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางที่ผ่านเกณฑ์มาตรการต่างๆ ให้เข้า-ออกประเทศไทยได้ ต้องจำกัดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นโดยเร็ว เชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการกลับมาได้
 

***ว่าด้วยโควิด จะทำอย่างไรได้ เมื่อทั้งผู้บริหารไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกออกมาคาดการณ์ ประเมินให้เห็นกันแล้วว่าอีก 1 ปี จึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจสิ้นสุดลงภายใน 1 ปี เนื่องจากการผลิตวัคซีนเพิ่มขึ้นช่วยรับประกันว่า จะมีจำนวนเพียงพอสำหรับทั้งโลก และอาจจะต้องฉีดวัคซีนกันทุกปีๆ รับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์อีกด้วย
 

*** ว่าด้วยการเมือง เศรษฐกิจ ธุรกิจ ต้องฟังซีอีโอ โพลล์กรุงเทพธุรกิจ สำรวจซีอีโอ 150 คน เกี่ยวกับ “เสถียรภาพการเมืองไทย ต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและแผนเปิดประเทศ” สำรวจระหว่างวันที่ 20-26 ก.ย.2564 หลังเสร็จศึกอภิปราย พรรคแกนนำรัฐบาลพลังประชารัฐแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า ซีอีโอ 82.4% ไม่มั่นใจเสถียรภาพทางการเมืองปัจจุบัน กว่า 52% ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองปัจจุบันส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจมาก จึงมีการแนะนำให้ยุบสภาถึง 39.6 % ให้ปรับครม.38.3 % และมีความเห็น 44 % ให้ปรับครม.ทั้งคณะ ถัดมา 38 % ให้ปรับทีมเศรษฐกิจ
 

ซึ่งใกล้เคียงกับสาธารณสุข ก็เป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องรับฟัง ต้องทำการบ้านในการปรับเปลี่ยนในด้านการเมือง ในการปรับครม. ไม่แปลกที่ซีอีโอทั้งหลายจะโน้มเอียงเสียงส่วนใหญ่ทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุเหลืออดและไม่ไหวเต็มทีกับปากท้อง การทำมาหากิน ทิ่มตรงๆด้วยว่าควรหารัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและต่างประเทศที่มีชื่อเสียงยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ สร้างระบบสื่อสารประชาสัมพันธ์ ให้เป็นมืออาชีพมากกว่านี้ โดยเฉพาะCountry spokesman และ national public relations ที่เข้าใจสื่อ
 

***บางกลุ่มซีอีโอเสนอแก้ปัญหาเชิงระบบ โดยเฉพาะระบบราชการ กฎหมาย รวมถึงการคอร์รัปชัน ปรับโครงสร้างทางการเมือง ผ่าตัดประเทศไทย แนะให้รัฐบาลทำหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วขึ้น สร้างความโปร่งใสในทุกเรื่อง ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ ด้วยระบบที่ลากถูกันมา แทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรกันเลย บรรทัดนี้ถามตรงๆอะไรที่ได้ปฏิรูปและสำเร็จไปแล้วบ้าง ระบบที่ครอบคลุมประเทศอยู่และไม่มีใครทะลายเป็นระบบอุปถัมภ์ เครือข่ายคอนเนคชั่น สะท้อนชัดในแวดวงราชการ ตำรวจที่เห็นอยู่โทนโท่ หวนมองกลับไปประเทศไทยใกล้เกาหลีใต้ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ในอดีตเสียจริงๆที่บ่มเพาะสังคมอุปถัมน์นำไปสู่ปัยหาหลายเรื่องที่แก้กันเพิ่งเสร็จ แต่ประเทศไทยกำลังพีคในเรื่องนี้ จะอยู่กันอย่างไรดีประเทศนี้ ลากกันไปเช่นนี้หรือ พระเดช พระคุณ ฯพณฯ
 

***ไปที่แวดวงธุรกิจ สมนึก กยาวัฒนกิจ แห่ง TH บริษัท บริหารสินทรัพย์ตงฮั้ว จำกัด ได้ซื้อหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน จำนวน 3,045 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นขอย้ายหมวดจากสื่อสิ่งพิมพ์ สู่ธุรกิจการเงิน สืบเนื่องจากกำไรของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2561 มาจากธุรกิจการเงินเป็นหลัก และบริษัทฯ มีนโยบายที่จะลงทุนและขยายธุรกิจของบริษัทสู่ธุรกิจทางด้านการเงินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการซื้อและบริหารหนี้จากสถาบันการเงินต่างๆ
 

ทั้งหนี้ที่มีหลักประกัน และไม่มีหลักประกัน โดยเฉพาะหนี้ที่มีหลักประกันมีนโยบายที่จะช่วยเหลือและประคับประคองลูกหนี้ ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และยืดเวลามากกว่าที่จะดำเนินคดี และยึดทรัพย์ เพื่อนำทรัพย์ออกประมูลขาย และหากลูกหนี้เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ นอกจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ บริษัท ก็พร้อมที่จะร่วมทุนเพื่อให้ลูกหนี้เติบโตและสามารถจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด