คาราบาวแดง “ของขลัง” หนังเหนียว

06 ก.ค. 2564 | 22:00 น.

คาราบาวแดง “ของขลัง” หนังเหนียว : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,694 หน้า 13 วันที่ 8 - 10 กรกฎาคม 2564 By…เจ๊เมาธ์

*** จำนวนผู้ติดเชื้อ รวมถึงผู้เสียชีวิต ที่ไต่ระดับทำสถิติสูงสุดใหม่ทุกวันเป็นปัจจัยในประเทศ ทำนักลงทุนกังวลใจ แต่ปัจจัยภายนอก ก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อใช้พิจารณาในการกำหนดทิศทางการลงทุนเช่นกัน 
 

ล่าสุด การประชุมโอเปคพลัส (โอเปค+ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม) ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ตกลงกันไม่ได้ในเรื่องนโยบายการผลิตน้ำมัน รวมถึงเรื่องที่นายอิบราฮิม ไรซี (Ebrahim Raisi) ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศอิหร่าน และการฟื้นตัวจากวิกฤติการณ์การติดเชื้อโควิดของหลายประเทศทั่วโลก 
 

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ปรับทิศทางเป็นขาขึ้น ซึ่งหากนับตั้งแต่เดือนมกราคม 64 เป็นต้นมา พบว่าราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ WTI ขยับขึ้นมาสูงกว่า 50% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานตระกูล PTT, PTTEP โรงกลั่นเช่น TOP IRPC SPRC BCP ESSO ปิโตรเคมี PTTGC IVL EPC SCC VNT รวมไปถึงหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก  ได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นของน้ำมันดิบในครั้งนี้
 

แน่นนอนว่า ราคาน้ำมันดิบขาขึ้น จะมีหุ้นตัวใหญ่มูลค่าการตลาดสูง เป็นตัวดัน SET ขึ้นไป แต่หุ้นที่ได้รับผลกระทบในทางลบก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งนักลงทุนอาจจะต้องพิจารณาเป็นรายตัว ในแต่ละกลุ่มด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่า เจ๊เมาธ์เอาใจช่วยให้ทุกคนผ่านไปให้ได้นะคะ

*** MAJOR ขายหุ้น SF (บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์) จำนวน 647 ล้านหุ้น หรือ 30.36% ให้กับ CPN (เซ็นทรัลพัฒนา) ส่งผลให้ CPN  ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 31.57% ทำให้กลุ่มเซ็นทรัล กลายเป็นเจ้าของและผู้บริหารห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่าง “เมกาบางนา” 
 

หากมองง่ายๆ การขาย SF ทำให้ MAJOR สูญเสียกำไรไปราวๆ 400 ล้านบาทต่อปี แต่ถ้าพิจารณาดีๆ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ MAJOR หายไปอย่างมาก และการขายหุ้น SF ออกไปทั้งหมด ทำให้ MAJOR ได้เงินสดเข้ามาราว 7.5 พันล้าน หักเงินต้นออกไป เหลือกำไรราวๆ 2.8 พันล้านบาท และหลังจากนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้เงินกู้ราวๆ 5.4 พันล้าน ยังเหลือเงินสดในมือกว่า 2.4 พันล้าน ไม่มีดอกเบี้ยจ่าย เข้ามากวนตัว
 

ดังนั้นการขาย SF ของ MAJOR ในรอบนี้ จึงมีแต่ได้กับได้ 


ในส่วนของ MAJOR ได้เงินไปใช้หนี้และมีเงินสดเหลือไปทำอย่างอื่นได้ ส่วน CPN ได้กินรวบห้างสรรพสินค้าต่อไป เพราะไม่ใช่เแค่  “เมกาบางนา” แต่ยังมีห้างสรรพสินค้าอื่น เช่น เจ อเวนิว, ลา วิลล่า, ดิ อเวนิว, เอสพลานาด, เอกมัย พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ ที่ถูกยัดใส่พานเข้ามือไปให้ CPN บริหารด้วยเช่นกัน
 

*** ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา CBG ของน้าแอ๊ด เป็นหนึ่งในหุ้นที่เจ๊เมาธ์ จับตาดูอย่างสนใจ วันนี้ CBG ทะลุ 150 บาท เพิ่มเติมเข้ามาคือความมั่นใจที่จะบอกว่า BCG จะข้ามแนวต้านและสามารถยืนอยู่เหนือราคานี้ได้อีกนาน และโอกาสที่จะยืนเหนือราคานี้ยังจะมีไปจนถึงช่วงก่อนที่ผลการดำเนินงาน Q2/64 จะประกาศออกมา ซึ่งหลังการประกาศผลการดำเนินงานราคาหุ้นของ CBG ก็อาจจะปรับตัวลงมาบ้าง และหลังจากนั้นก็จะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง รอบนี้ CBG นี่จะไปได้ไกลแค่ไหนตัวเจ๊เมาธ์เอง ไม่อยากฟันธงให้ใครหมั่นไส้เจ๊เอาได้นะคะ เพียงแต่เจ๊ได้ยินมาว่า...มีโอกาสขยับขึ้นไปถึงเลข 2 โน้นเลยค่ะ 
  

*** เห็นราคาหุ้นแบงก์ใหญ่อย่าง  KBANK SCB และ BBL ปรับลดลงแล้ว เจ๊เมาธ์ บอกได้แค่ว่าให้เตรียมตัวตั้งรับให้ดี เพราะเหตุผลที่หุ้นธนาคารใหญ่พวกนี้ยังไม่ไปไหน ล้วนเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผลการดำเนินงาน 2/64 ที่หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด และยังดูท่าว่าจะหนักขึ้นไปด้วย มีเรื่องการตั้งสำรองหนี้ที่ยังสูงอยู่ 

ขณะเดียวกัน เรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ ที่อาจถูกปรับลดลงอีกจากการร้องขอจากภาครัฐ เป็นอีกปัจจัยที่ยังกดดันไม่ให้ราคาหุ้นธนาคารเหล่านี้ไปไหนได้ไม่ไกล เอาเป็นว่า ดูเหมือนหุ้นธนาคารที่ใครๆ คิดว่ามั่นคง จากนี้ไป อาจไม่ใช่ทางเลือกในการลงทุนที่ดีที่สุดต่อไปอีกแล้วนะคะ ต้อนนี้เราอาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่นเพิ่มเติม หรือพิจารณาหุ้นในกลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาด้วยแล้วค่ะ 
  

เจ๊เมาธ์ ไม่รู้ว่า สมาคมที่มีสมาชิกเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดทุน หิวแสง หรือ ถังแตก ขาดทุนหนัก เพราะโควิด-19 พ่นพิษ สถานการณ์แบบนี้ รายย่อยที่จ่ายหยุมหยิม เพิ่มขึ้น ที่คิดรวมมาในรายการซื้อขายหุ้นแต่ละรายการ ค่าคอมมิชชั่น (นายหน้าซื้อขาย) ก็แพงกว่าสถาบัน-รายใหญ่อยู่แล้ว เพราะ 2 รายหลังนี่แทบไม่ต้องจ่ายเลย 
 

เรื่องของเรื่อง ที่ผ่านเข้าหูเจ๊เมาธ์ มา เป็นอย่างนี้ค่ะ สมาคมฯ ดังที่ว่านี้ เปย์สุด ๆ แต่ละปี พาสมาชิก ระดับวีไอพี เที่ยวเมืองนอก ดื่มไวน์ขวดละหมื่น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยปีละ กว่า 40 ล้านบาท (ดีนะที่มีโควิด เลยงดไปดูแสง) รีดเงินบริจาคโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นเงินค่าธรรมเนียมส่วนเกินที่เหลือจากส่งก.ล.ต.รับปีละสิบล้านบาท แล้วที่เหลือต้องส่งเข้าสมาคมฯ ที่ว่านี้ 
 

ดั๊นมีโบรกเกอร์ จะเรียกว่าหัวแข็งก็ได้ รู้คุณค่าเงิน รู้จักประหยัด ในยามวิกฤติโควิด ทุกคนลำบาก จะสบายเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว... ก็เลยจัดการนำเงินที่รีดเก็บจากรายย่อย เหลือจากส่งให้ก.ล.ต. แล้ว ส่งคืนให้รายย่อยลูกค้า แทนที่จะส่งให้สมาคม ...เป็นเรื่องสิค่ะ เรื่องนี้ถึงครูสมศรี ผจก.โรงเรียนต้นสังกัดของโบรกเกอร์รายนี้ แน่ ๆ ถึงขนาดจะฟ้องให้ครูสมศรี ไล่ออกจากการเป็นสมาชิกโรงเรียนเลยคร้า....ตามไปค่ะว่า เรื่องนี้ครูสมศรี จะตัดสินยังไง หรือสมาชิกสมาคม จะช่วยกันประหยัด ในยามยากลำบากนี้