นายณัท เวชชศาสตร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ทิพยโอสถสถาน จำกัด ทายาทรุ่นที่ 4 แบรนด์ “น้ำอบปรุงเจ้าคุณ” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทพัฒนาแบรนด์ครอบคลุม 3 กลุ่มตลาด ได้แก่ SIAM1928 สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่เล่าเรื่องผ่านกลิ่นและวัฒนธรรมไทย, VOYAGER สำหรับตลาดพรีเมียม ที่สะท้อนอัตลักษณ์และความแตกต่าง และ House of Arcanist ที่มุ่งตลาดแมสเพื่อขยายฐานผู้บริโภค
โดยโครงสร้างธุรกิจในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น บริษัท ทิพยโอสถสถาน จำกัด เป็นบริษัทหลักอยู่ในการดูแลธุรกิจและบริษัท โนสอีโวลูชัน จำกัด เป็นบริษัทค้าปลีก ที่ร่วมมือกับพันธมิตรจัดจำหน่ายน้ำหอม ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว 5 สาขาในประเทศไทย ได้แก่ 1.Rebellion lab and perfume bar 2.Skonx สาขา เกสร 3.Skonx สาขา ทรงวาด 4.Thai perfume runway @MBK 5. ICONCRAFT @ICON SIAM ส่วนในต่างประเทศมีวางจำหน่ายแล้ว 17 สาขาใน 8 ประเทศ และมีแผนเปิดเพิ่มอีกทั้งในไทย 2 สาขา และต่างประเทศ 2 สาขา ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การตลาด บริษัทเน้นการฝากขาย (Consignment) แทนการลงทุนเปิดร้านเอง ทำให้ไม่ต้องแบกรับต้นทุนสูง ขณะเดียวกันยังได้พื้นที่จัดแสดงสินค้าในห้างสรรพสินค้าและร้านสแตนด์อโลนที่มีทำเลดีและมีนักท่องเที่ยวหนาแน่น วิธีนี้เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เห็นและทดลองน้ำหอมได้สะดวกขึ้น สร้างการรับรู้แบรนด์ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแหล่งที่มีผู้คนสัญจรจำนวนมาก
ข้อดีของการฝากขายอีกประการคือ ร้านสแตนด์อโลนสามารถออกแบบบรรยากาศและจัดวางสินค้าได้เอง ทำให้การนำเสนอแบรนด์มีความเป็นส่วนตัวและสะท้อนอัตลักษณ์ได้ชัดเจน เหมาะกับช่วงที่บริษัทอยู่ระหว่างการขยายตลาดและยังไม่พร้อมลงทุนเปิดร้านเอง กลยุทธ์นี้ยังช่วยเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สร้างรายได้ถึง 85% ของยอดขาย ขณะที่ลูกค้าไทยมีเพียง 15% แสดงให้เห็นว่าตลาดต่างประเทศตอบรับแบรนด์ได้ดีกว่า
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้เติบโต 30% ซึ่งปัจจุบันมียอดขายเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้แล้ว และตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตอีก 30% ในปี 2569
นอกจากการขยายสาขาแล้ว บริษัทยังมุ่งลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) กลิ่นใหม่ รวมถึงการทำ Storytelling ผ่านบรรจุภัณฑ์และการตลาด เพื่อให้น้ำหอมไม่ใช่เพียงผลิตภัณฑ์ แต่เป็น “สื่อทางวัฒนธรรม” ที่ผู้บริโภคสามารถรับรู้และสัมผัสได้จากประสบการณ์การใช้โดยตรง
อีกทั้งยังสร้างคอมมูนิตี้ (Community Engagement) ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อป การทดลองกลิ่น และคอนเทนต์ออนไลน์ที่เล่าเรื่องราวของวัตถุดิบไทย เพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มคุณค่าในสายตาผู้บริโภค
“ตลาดต่างประเทศ บริษัทมุ่งเจาะกลุ่ม Luxury & Exotic Scent ในยุโรปและอเมริกา โดยใช้น้ำหอมเป็นตัวแทนสะท้อนวัฒนธรรมไทย สร้างความแตกต่างจากแบรนด์สากล พร้อมตั้งราคาพรีเมียมและสร้างประสบการณ์ทดลองกลิ่น ผ่านงานแสดงสินค้าระดับโลก เช่น Esxence ที่อิตาลี และ NotesShanghai ที่จีน รวมถึงขยายผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายและช่องทางออนไลน์ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มองหาความแปลกใหม่และศิลปะที่ผสานอยู่ในกลิ่น”
นายณัท กล่าวอีกว่า ตลาดน้ำหอมไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ระหว่างปี 2563–2566 ที่ถือเป็น “ยุคทอง” ของน้ำหอมไทย ผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกลิ่น ทั้งน้ำหอมและเทียนหอม เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ตลาดน้ำหอมไทย ปี2568 มีมูลค่า 8,000 ล้านบาท และเติบโต 5–7% ต่อปี
เมื่อมองภาพรวมตลาดน้ำหอมไทยยังมีแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการถูกมองว่าเป็นแฟชั่นและเครื่องประดับเสริมบุคลิก ความนิยมในกลุ่มนิชที่สะท้อนอัตลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการเติบโตของช่องทางออนไลน์ที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากดาราและเซเลบริตี้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ผันผวน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ยังคุ้นชินกับกลิ่นมาตรฐาน ทำให้การเปิดรับสิ่งใหม่ยังเป็นไปอย่างจำกัด
แม้มีข้อจำกัดดังกล่าว แต่ไตรมาส 4 ยังคงเป็น “ฤดูกาลทอง” ของธุรกิจน้ำหอม เพราะตรงกับช่วงเทศกาลและการเปลี่ยนฤดูกาล ยอดขายจะพุ่งสูงสุด 2 รอบคือ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ–ฤดูร้อน ที่ลูกค้าต่างชาติซื้อคอลเลกชันใหม่ และช่วงฤดูใบไม้ร่วง–ฤดูหนาว โดยเฉพาะก่อนคริสต์มาสซึ่งเป็นพีกสูงสุดจากความนิยมซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญ ปัจจัยนี้ทำให้ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป กลายเป็นแรงขับสำคัญต่อการเติบโตของบริษัท
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,125 วันที่ 24 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568