“บางจาก” ปิดตำนานปั๊ม ESSO

12 ม.ค. 2566 | 22:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ดีลเทคฯ ESSO ของ BCP อ้างอิงอยู่บนงบการเงินไตรมาสที่ 3/65 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65 ซึ่งอยู่ที่ 30,608 ล้านบาท ตอนนั้นราคาหุ้น ESSO เคลื่อนไหว ราว 8.30 - 8.80 บาท ขณะที่เมื่อคำนวณตามตัวเลขวงเงิน 33,312 ล้านบาท ที่ทาง BCP ประกาศว่า จะใช้ในการซื้อหุ้นของ ESSO ทั้งหมด แบ่งเป็นการซื้อตรงจากผู้ถือหุ้นใหญ่ 65.99% และตั้งโต๊ะรับซื้อ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) 34.01% ก็จะออกมาที่ราคา 9.63 บาทต่อหุ้น 

ข้อดี การซื้อหุ้น ESSO ทำให้ BCP มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง ก้าวขึ้นมาชิงส่วนแบ่งการตลาด จากทั้ง OR และ PTG ทั้งในส่วนของตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และในส่วนของธุรกิจ Non-oil 

ขณะที่การซื้อขายหุ้นในครั้งนี้กลับทำให้ราคาหุ้นของ ESSO ดิ่งลงหนัก ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกซื้อ เนื่องจาก ExxonMobil Asia Holdings Pre, Lid. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ESSO นอกจากจะได้เงินสดกลับไปก็จะเหลือธุรกิจเฉพาะในส่วนของน้ำมันหล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ ขณะที่หุ้น ESSO ก็จะถูกถอนออกไปจากตลาดฯ ในท้ายที่สุด 
 

*** ในบางครั้งเจ้ามือก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำกำไร ด้วยการลากราคาแล้วทุบด้วยตัวเองในทุกครั้ง ดูอย่าง 7UP เป็นตัวอย่าง เพราะทุกครั้งที่หุ้นตัวนี้ถูกดันขึ้นมาก็เดาได้ว่า นั่นจะเพียงจังหวะการเล่นรอบเพื่อหาค่าขนมเท่านั้น อย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งที่เกิดการทำราคาขึ้นมา หุ้นพวกนี้จะถูกดันขึ้นในแบบที่ทั้งเร็ว...และแรงโดยไม่สนอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วันก็จะถูกจับติดแคชฯ ในทุกครั้ง  

ทั้งนี้ ถ้าหากมองในมุมที่เป็นข้อดีก็จะคิดได้ว่า การติดแคชฯ จะเป็นหยุดการเล่นเก็งกำไร จนอาจทำให้เกิดความเสียหายกับนักลงทุน แต่ถ้าหากมองในแง่ร้ายขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะรู้ว่าการติดแคชฯ ก็คือ การทุบหุ้นที่กำลังวิ่งแรงในอีกหนึ่งรูปแบบซึ่งดูไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากการทุบหุ้นจากกลุ่มเจ้ามือแต่อย่างใด 

แน่นอนว่า กรณีของการลากราคา แล้วปล่อยให้ทางผู้ดูแลกติกาเป็นฝ่ายทุบหุ้นให้แทนที่กลุ่มเจ้ามือจะต้องมาทุบหุ้นเอง เกิดขึ้นได้กับหุ้นแทบทุกตัว และไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น 7UP เพียงตัวเดียว แต่สิ่งที่เจ๊เมาธ์กำลังจะบอกก็คือ ในบางครั้งคนที่พยายามจะทำตัวเป็นพระเอง ประมาณว่าออกแอ็คติ้งมากเกินไป ก็อาจจะกลายเป็นผู้ช่วยโจรได้ในแบบที่ไม่รู้ตัวเช่นกัน
 

*** ช่วงนี้ดูเหมือนว่า ราคาหุ้นกลุ่มขนส่งสินค้าและโลจีสติกส์ ไม่ว่าจะเป็น III WICE JWD PRM RCL หรือ อีกหลายตัว ต่างก็ออกอาการไปทางทรง...และทรุดซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะถึงแม้ว่าธุรกิจภาคขนส่งจะเริ่มกลับมาดูดีในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปัญหาต้นทุนค่าพลังงาน ก็ทำให้นักลงทุนเป็นกังวลว่า ถึงเวลาที่ควรจะกลับเข้าไปลงทุนได้หรือไม่ เพราะตราบใดที่ต้นทุนยังสูง...ก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องกำไร  

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีนักลงทุนหลายคนที่ยังติดดอย เนื่องจากราคาหุ้นที่เคยขยับขึ้นสูงมากทำให้มีแรงเทขายในทุกครั้งที่ราคาหุ้นขยับขึ้น จนทำให้ราคาหุ้นไปไหนได้ไม่ไกล เอาเป็นว่า สำหรับหุ้นกลุ่มขนส่งสินค้าและโลจีสติกส์ในจังหวะนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อน หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจยังมีอีกเยอะ ไม่ต้องรีบ...เวลายังมีอีกเยอะ

*** นับตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. ปี 65 ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารปรับขึ้นมาเฉลี่ย 8-10% โดยมีกลุ่มธนาคารใหญ่อย่าง KBANK BBL SCB KTB และ TTB ถือว่าเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดจนทำให้กังวลว่า หุ้นกลุ่มนี้ยังจะไปต่อได้อีกแค่ไหน ซึ่งหากมองผ่านมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊ก็ยังคงมองว่า ถึงแม้จะเริ่มทยอยแจ้งผลการดำเนินงานและปันผลจนอาจจะเกิดการขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถปล่อยให้เกิดการรันเทรนด์ต่อไป  

ประมาณว่าถึงจะไม่แรง...แต่ก็ถือยาวได้ อย่างหนึ่งเป็นเพราะหุ้นธนาคารยังคงเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนผ่านการมีปันผลอยู่อย่างสม่ำเสมอ และอีกส่วนก็เป็นเรื่องของรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแม้ว่าอาจจะยังไม่สามารถเห็นได้ในผลการดำเนินงานปี 65 แต่ก็น่าจะได้เริ่มบุ๊คเข้ามาในปี 66 อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยเขียนถึงมาตลอด บอกเลยจังหวะนี้หุ้นธนาคารยังน่าสนใจเจ้าค่ะ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,853 วันที่ 15 - 18 มกราคม พ.ศ. 2566