ฮุน มาเนต กับเครือข่ายเวสต์พอยต์ 1999 อำนาจหลังฉากสหรัฐฯ

13 ธ.ค. 2568 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ธ.ค. 2568 | 05:14 น.

เจาะลึกคอนเนคชัน “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ศิษย์เก่าเวสต์พอยต์ รุ่นปี 1999 กับเครือข่ายนายทหารและชนชั้นนำสหรัฐฯ ที่กุมอำนาจในกองทัพ นโยบาย และภาคธุรกิจ ท่ามกลางความขัดแย้งไทย–กัมพูชาที่ยังไม่ยุติ

การออกมาโพสต์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผ่าน Truth Social เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ว่าไทยและกัมพูชาตกลง “ยุติการยิงทั้งหมด” และระบุว่ากรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นเพียง “อุบัติเหตุ” ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดน ไม่ใช่เพราะทำให้ความขัดแย้งยุติลง หากแต่เพราะสะท้อนการรับรู้ที่แตกต่าง ระหว่างวอชิงตันกับกรุงเทพฯ อย่างชัดเจน

ฝ่ายไทย โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาโต้กลับอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดไม่ใช่อุบัติเหตุข้างทาง และการปฏิบัติการทางทหารของไทยยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีภัยคุกคามต่ออธิปไตยและประชาชนไทยอีกต่อไป ที่สำคัญ ในทางปฏิบัติ “ยังไม่มีการหยุดยิงเกิดขึ้นจริง” ตามที่ทรัมป์ประกาศ

ท่าทีดังกล่าวทำให้คำถามสำคัญถูกยกขึ้นมาในแวดวงความมั่นคงและการทูตไทยทันทีว่า เหตุใดผู้นำสหรัฐฯ จึงเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความรุนแรงของเหตุทุ่นระเบิด และสื่อสารราวกับว่ากัมพูชาอยู่ในสถานะ “ผู้ร่วมมือเพื่อสันติภาพ” มากกว่าคู่ขัดแย้ง คำตอบของคำถามนี้ ไม่อาจมองแยกจากเครือข่ายอำนาจที่เชื่อมโยงนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต เข้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างลึกซึ้ง ผ่านสายสัมพันธ์ของวิทยาลัยการทหารสหรัฐฯ หรือเวสต์พอยต์ รุ่นปี 1999

 

ฮุน มาเนต กับเครือข่ายเวสต์พอยต์ 1999 อำนาจหลังฉากสหรัฐฯ

 

ฮุน มาเนต คือศิษย์เก่าต่างชาติรุ่นเดียวกับนายทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่วันนี้กำลังยืนอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของโครงสร้างอำนาจสหรัฐฯ รุ่นปี 1999 เป็นรุ่นที่มีนัยยะพิเศษ พวกเขาเข้ารับราชการในยุคหลังสงครามเย็น ผ่านการรบจริงในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย และกำลังขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในช่วงที่สหรัฐฯ ปรับยุทธศาสตร์สู่การแข่งขันมหาอำนาจ โดยเฉพาะในโดเมนอวกาศ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมกลาโหม

ฮุน มาเนต กับเครือข่ายเวสต์พอยต์ 1999 อำนาจหลังฉากสหรัฐฯ

 

ในเครือข่ายนี้ บุคคลที่มีบทบาทชัดเจนที่สุดคือ พลตรี Donald K. Brooks ศิษย์เก่า West Point รุ่น 1999 ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการฝ่ายยุทธการของกองบัญชาการอวกาศและป้องกันขีปนาวุธกองทัพบกสหรัฐ หน่วยงานที่ถือครองทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์สูงสุดของประเทศ ตั้งแต่ระบบเตือนภัยขีปนาวุธจนถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ บทบาทของเขาไม่ใช่เชิงสัญลักษณ์ แต่คือการกำหนดทิศทางการป้องปรามและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในระดับโครงสร้าง

 

ฮุน มาเนต กับเครือข่ายเวสต์พอยต์ 1999 อำนาจหลังฉากสหรัฐฯ

 

นอกจาก Brooks แล้วยังมี Kevin D. Bradley รุ่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันเป็นพันเอกและผู้อำนวยการทีมเฉพาะกิจพัฒนายุทโธปกรณ์ยานเกราะรุ่นถัดไป ภายใต้กองบัญชาการอนาคตกองทัพบกสหรัฐ หรือ Army Futures Command ตำแหน่งนี้ทำให้เขาอยู่ในจุดตัดระหว่างนโยบายกลาโหม เทคโนโลยี และงบประมาณจำนวนมหาศาล ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับอุตสาหกรรมกลาโหมและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ

ในมิติภาคเอกชน เครือข่ายรุ่น 1999 ไม่ได้จำกัดอยู่ในเครื่องแบบ Dorian Price ศิษย์เก่าหญิงรุ่นเดียวกัน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในภาคธุรกิจและการเงิน จนได้รับเกียรติเป็นตัวแทนศิษย์เก่าเวสต์พอยต์ร่วมพิธีสั่นระฆังปิดตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บทบาทเช่นนี้สะท้อนการเชื่อมโยงระหว่างโลกความมั่นคงกับโลกทุน ซึ่งมีผลต่อการกำหนดทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลาโหมและเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ ยังมี Stephanie Markich รุ่นปี 1999 ซึ่งหลังปลดประจำการจากกองทัพ ได้ทำงานกับบริษัท Procter & Gamble และปัจจุบันรับผิดชอบงานด้านการจ้างงานและพัฒนาทหารผ่านศึกในสหรัฐฯ บทบาทนี้อาจดูห่างไกลจากภูมิรัฐศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงคือการรักษาและขยายเครือข่าย “The Long Gray Line” ให้ฝังรากลึกในภาคธุรกิจและสังคมอเมริกัน

 

ฮุน มาเนต กับเครือข่ายเวสต์พอยต์ 1999 อำนาจหลังฉากสหรัฐฯ

 

เมื่อมองผ่านเลนส์เชิงสืบสวน จะเห็นว่าฮุน มาเนต ไม่ได้เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ผ่านรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น แต่เชื่อมโยงผ่าน “คน” ผ่านเพื่อนร่วมรุ่นที่วันนี้กระจายตัวอยู่ในกองทัพ สถาบันนโยบาย และภาคเอกชนของสหรัฐฯ เครือข่ายนี้ไม่จำเป็นต้องนัดพบอย่างเป็นทางการ แต่ทำงานผ่านความคุ้นเคย ภาษาเดียวกัน และกรอบคิดแบบเวสต์พอยต์

นี่คือบริบทที่ทำให้การสื่อสารของทรัมป์ในกรณีไทย–กัมพูชา ถูกตีความในกรุงเทพฯ ว่าเอนเอียงเข้าข้างกัมพูชา การระบุว่าทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นเพียงอุบัติเหตุ ไม่เพียงขัดกับข้อมูลภาคสนามของฝ่ายไทย แต่ยังลดทอนความรับผิดชอบเชิงโครงสร้างของฝั่งกัมพูชาในสายตานานาชาติ และเปิดพื้นที่ให้ฮุน มาเนต ปรากฏตัวในบทบาท “ผู้นำที่พร้อมสันติภาพ” บนเวทีโลก

สำหรับไทย เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นการหยุดยิง แต่คือคำถามใหญ่ต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะคนกลาง และต่อเครือข่ายอำนาจที่ทำให้เสียงของกัมพูชาถูกได้ยินดังเป็นพิเศษในวอชิงตัน ขณะที่ความจริงในพื้นที่ชายแดนยังคงแตกต่างจากถ้อยแถลงทางการเมือง

ในภาพรวม ดีลที่ทรัมป์พยายามประกาศยังไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นบนภาคสนาม แต่เป็นความจริงในเชิงการสื่อสาร ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของเครือข่ายเวสต์พอยต์รุ่น 1999 ที่เชื่อมโยงผู้นำกัมพูชากับศูนย์กลางอำนาจของสหรัฐฯ อย่างแนบแน่น สำหรับไทย การอ่านเกมนี้อย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เพียงเพื่อรับมือกับกัมพูชา แต่เพื่อทำความเข้าใจว่าสหรัฐฯ กำลังมองภูมิภาคนี้ผ่านเลนส์ใด และใครคือผู้มีบทบาทอยู่หลังฉากของการตัดสินใจเหล่านั้น