KEY
POINTS
(10 พ.ย.68) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่งในตลาดเอเชีย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังจากที่มีข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอ แต่การเทขายในตลาดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากมีความหวังว่าสภาคองเกรสอาจใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อเปิดทำการรัฐบาลกลางอีกครั้ง หลังจากที่เกิดภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์
ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งใช้วัดความแข็งแกร่งของเงินสหรัฐฯ เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ปรับตัวขึ้น 0.2% สู่ระดับ 99.740 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องมา 3 วัน โดยทั้งเยนและยูโรต่างก็อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวทางการเมืองในวอชิงตันก็ช่วยทำให้ตลาดฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง
จอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ เปิดเผยว่าการเจรจาระหว่างสองพรรคเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์มีแนวโน้มเป็นไปในทางบวก และวุฒิสภาจะเตรียมลงมติเปิดทำการรัฐบาลอีกครั้งด้วยงบประมาณชั่วคราวถึงเดือนมกราคม ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “จังหวะสำคัญ” ที่จะช่วยลดแรงกดดันในตลาดได้
นักวิเคราะห์ระบุว่า “การเทขายดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนมีแนวโน้มจะชะลอลง เพราะความหวังใหม่เกี่ยวกับการยุติชัตดาวน์กำลังเข้ามาช่วยพยุงตลาด” โดยก่อนหน้านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐที่ยืดเยื้อที่เริ่มส่งผลต่อครัวเรือนชาวอเมริกันอย่างชัดเจน
ในฝั่งเอเชีย เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยมีค่าอยู่ที่ 153.82 เยนต่อดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.3% จากปลายสัปดาห์ก่อน หลังจากนายกรัฐมนตรีซาเนะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นประกาศว่าจะปรับเป้าหมายทางการคลัง โดยยกเลิกการใช้เป้าประจำปีและเปลี่ยนไปใช้กรอบหลายปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผ่อนคลายวินัยทางการคลังของรัฐบาลโตเกียว นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังได้ระบุในรายงานล่าสุดว่า “หมอกควันของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มจางลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม”
ขณะเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกกำลังประเมินผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กระตุ้นให้มีการผลิตล่วงหน้าเพื่อตอบสนองต่อเส้นตายการเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจจากจีนชี้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่การส่งออกกลับร่วงหนักที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
เอริก โรเบิร์ตเซน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด แบงก์ กล่าวในบันทึกวิจัยว่า “เราคาดว่าเศรษฐกิจในเอเชียจะชะลอตัวลงอีก หลังจากที่การเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ผ่านพ้นไป และเมื่อวัฏจักรการลดดอกเบี้ยในภูมิภาคใกล้จะสิ้นสุด การไหลเข้าของเงินลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศอาจเริ่มชะลอตัว” พร้อมทั้งเตือนว่า “สภาพคล่องส่วนเกินที่ช่วยพยุงตลาดการเงินโลกในปี 2025 อาจเริ่มลดลงในปี 2026 ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์ยังคงแข็งค่าต่อไปในปีหน้า”
ในตลาดเงินสหรัฐฯ ข้อมูลจาก CME Group ชี้ว่า นักลงทุนยังคงประเมินโอกาสร้อยละ 67 ในการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 10 ธันวาคม ขณะที่เงินยูโรอ่อนค่าลง 0.1% อยู่ที่ 1.155 ดอลลาร์ต่อยูโร และเงินปอนด์ลดลง 0.2% อยู่ที่ 1.314 ดอลลาร์ต่อปอนด์
สำหรับค่าเงินหยวนในตลาดนอกประเทศยังคงทรงตัวที่ระดับ 7.1261 หยวนต่อดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียมีการปรับขึ้นเล็กน้อย 0.1% อยู่ที่ 0.6502 ดอลลาร์สหรัฐฯ และดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนค่าลง 0.1% อยู่ที่ 0.56265 ดอลลาร์