กัมพูชา เตรียมฝากทองในจีน ดันขึ้นแท่นศูนย์กลางทองคำโลก ลดอิทธิพลตะวันตก

08 พ.ย. 2568 | 08:43 น.
อัปเดตล่าสุด :08 พ.ย. 2568 | 08:43 น.

กัมพูชาเตรียมฝากทองคำสำรองไว้ในจีน ภายใต้ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ ดันจีนเป็นศูนย์กลางทองคำโลก ลดการพึ่งพาอิทธิพลตะวันตก

KEY

POINTS

  • กัมพูชาเตรียมนำทองคำสำรองไปฝากไว้ที่ประเทศจีน ผ่านระบบของตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ เพื่อลดการพึ่งพาระบบการเงินของชาติตะวันตก
  • การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการผลักดันตัวเองขึ้นเป็นศูนย์กลางทองคำแห่งใหม่ของโลก เพื่อท้าทายอิทธิพลเดิมของสหรัฐฯ และลอนดอน
  • ทองคำที่กัมพูชาจะนำไปฝากเป็นทองคำชุดใหม่ที่เพิ่งจัดซื้อ และมีรายงานว่าอีกหลายประเทศกำลังพิจารณาฝากทองคำในจีนเช่นกัน

กัมพูชากำลังจะกลายเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ฝากทองคำสำรองไว้กับจีน ภายใต้ระบบจัดเก็บของตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปลอดภาษีเมืองเสิ่นเจิ้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนทิศทางใหม่ของระบบการเงินโลกที่จีนพยายามผลักดันให้ลดการพึ่งพาตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และศูนย์กลางทองคำดั้งเดิมอย่างลอนดอน

รายงานจากสื่อ Business Times เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ระบุว่า ทองคำที่กัมพูชาจะนำไปฝากในจีนเป็นทองคำชุดใหม่ที่เพิ่งจัดซื้อ ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายจากคลังสำรองเดิม โดยเป้าหมายสำคัญคือการกระจายความเสี่ยงจากระบบเดิมที่ผูกกับสกุลเงินดอลลาร์และตลาดทองคำฝั่งตะวันตก ซึ่งมักถูกมองว่ามีอิทธิพลเหนือระบบการเงินของประเทศกำลังพัฒนา

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า ไม่เพียงกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่เริ่มแสดงความสนใจฝากทองคำไว้ในจีน เพื่อหาทางเลือกใหม่ในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ การที่จีนเริ่มเปิดรับบทบาท “ผู้ดูแลทองคำของชาติอื่น” จึงเป็นสัญญาณชัดเจนว่าปักกิ่งกำลังเดินหน้าเสริมอำนาจทางการเงินและสร้างเครือข่ายประเทศพันธมิตรที่ต้องการลดการพึ่งพาตะวันตก

ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า ปัจจุบันกัมพูชามีทองคำสำรองประมาณ 54 ตัน คิดเป็นราวหนึ่งในสี่ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.6 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญในกลยุทธ์การบริหารเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา เคยเปิดเผยว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาหลายสถานที่ทั่วโลกสำหรับจัดเก็บทองคำสำรองของประเทศ แต่ไม่ได้ระบุว่าจีนเป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาและธนาคารกลางจีนยังปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อรายงานดังกล่าว

 

อ้างอิง: Business Times