KEY
POINTS
ก่อนการประชุมเอเปคในวันที่ 30 ตุลาคม ที่ทั่วโลกต่างจับตาการกลับมาพบกัน ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนในเวที เอเปค 2025 ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ถือการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019
ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เดินหน้าปิดดีลความร่วมมือหลายฉบับระหว่างการเยือนเอเชีย เพื่อยึดฐานซัพพลายแร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) สร้างความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด มีคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ จอแสดงผล ระบบดาวเทียม อาวุธ และแม่เหล็กถาวรสำหรับกังหันลมหรือเครื่องปั่นไฟ เป็นทรัพยากรสำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีสะอาด ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นภาคส่วนสำคัญที่จีนครองความเป็นผู้นำมายาวนาน
ดีลเหล่านี้ เพื่อผูกพันประเทศคู่ค้าให้ค้าขายกับสหรัฐฯ มากขึ้น และมีเป้าหมายเดียวกัน คือการ “ลดการพึ่งพาจีน” และกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่หายากออกจากอิทธิพลจีน แม้หลายข้อตกลงยังอยู่ในขั้นบันทึกความเข้าใจ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในศึกการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ข้อตกลงกับญี่ปุ่น มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา มีความแตกต่างกันทั้งในด้านขนาดและเนื้อหา แต่หลายข้อตกลงยังอยู่ในขั้น “ไม่ผูกพันทางกฎหมาย” (MOU) สำหรับประเทศไทย MOU เกี่ยวกับความร่วมมือด้านแร่หายากเมื่อเร็วๆ นี้ กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจและตั้งคำถามในหลายมิติ
แม้การเดินสายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเอเชียเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่หายากกับหลายประเทศ จะถูกมองว่าเป็นความพยายามปูพรมล้อมจีนทางเศรษฐกิจ แต่ท่าทีของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กลับยังไม่เคลื่อนไหวโดยตรง โดยปล่อยให้หน่วยงานระดับกระทรวง เช่น กระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) ออกมาตอบโต้แทนว่า การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนเป็นไปเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ใช่การห้ามส่งออกโดยสิ้นเชิง
ขณะเดียวกัน สื่อของรัฐจีนอย่าง Global Times รายงานว่า การเดินเกมของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความวิตกมากกว่าความแข็งแกร่ง พร้อมเตือนว่า การใช้ประเด็นแร่หายากเป็นเครื่องมือทางการเมือง สุดท้ายอาจกลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับไปทำร้ายเศรษฐกิจของชาติตะวันตกเอง
ข้อตกลงด้านแร่สำคัญกับญี่ปุ่น ครอบคลุมการเพิ่มอุปทานและการผลิตแร่หายาก โดยทั้งสองฝ่ายตกลงจะร่วมลงทุน จัดตั้งคลังสำรอง และตั้งกลุ่มตอบสนองฉุกเฉินเพื่อรับมือกับความผันผวนด้านอุปทาน
ส่วนข้อตกลงกับประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา ยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน แต่ทั้งหมดเห็นพ้องให้ขยายช่องทางเข้าถึงทรัพยากรแร่หายากสำหรับสหรัฐฯ และกำหนดกติกาการส่งออกที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อชาวอเมริกันมากกว่าบริษัทจีน
ข้อตกลงเหล่านี้ยังรวมถึงคำมั่นว่าจะไม่ระงับการส่งออกแร่ไปยังสหรัฐฯ และจะส่งเสริมการแปรรูปภายในประเทศรวมถึงการลงทุนโดยบริษัทที่ไม่ใช่จีน
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงกับมาเลเซียและไทยเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต
บรรลุข้อตกลงมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์กับออสเตรเลีย
ก่อนการเดินทางเยือนเอเชีย ทรัมป์ได้บรรลุข้อตกลงมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์กับออสเตรเลีย เพื่อร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและลงทุนสร้างศักยภาพการแปรรูปแร่หายากนอกจีน
ระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ที่ทำเนียบขาว ทรัมป์กล่าวว่า “ในอีกประมาณหนึ่งปีข้างหน้า เราจะมีแร่หายากและแร่สำคัญมากมายจนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี พวกมันจะมีมูลค่าเพียง 2 ดอลลาร์เท่านั้น”
คำพูดดังกล่าวสะท้อนมุมมองว่าราคาจะแตะระดับต่ำสุดเมื่อปริมาณอุปทานพุ่งขึ้น แม้ทั้งกรอบเวลาและราคาที่ทรัมป์กล่าวไว้ดูไม่สมจริง แต่ออสเตรเลียก็ถือเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในการจัดหาวัตถุดิบแร่สำคัญ
กราเซลิน บาสการัน และเคสซาริน ฮอรวาธ จากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) เขียนในบทความล่าสุดว่า
ออสเตรเลียเปรียบเสมือนตารางธาตุที่ส่องแสงเหมือนต้นคริสต์มาส เต็มไปด้วยแหล่งแร่ที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ปัจจุบันหลายบริษัทกำลังสร้างโรงกลั่นแร่ในประเทศ รวมถึง Iluka Resources ที่เคยให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อต้นปีว่า แทบเป็นไปไม่ได้ทางการเงินหากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล
แม้สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ ได้เร่งสร้างพันธมิตรในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอาเซียน เพื่อกระจายแหล่งจัดหาและแปรรูปแร่หายากออกจากจีน อย่างไรก็ดี สิ่งที่หลายฝ่ายเตือนคือ การไล่ตามจีนให้ทัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา เงินทุน เทคโนโลยี และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ
ปี 2025 จีนเพิ่งประกาศมาตรการเข้มงวดใหม่ บังคับให้ผู้ส่งออกต้องขอใบอนุญาตพิเศษ รวมถึงจำกัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ สัญญาณนี้ชี้ชัดว่า จีนตั้งใจรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่แร่หายาก ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามสร้างพันธมิตรใหม่เพื่อลดอิทธิพล
นอกจากนี้ จีนสามารถใช้มาตรการเหล่านี้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ หากมีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ เช่นการจำกัดส่งออกเพื่อกดดันห่วงโซ่การผลิตของคู่แข่ง ผลลัพธ์คือ แม้หลายประเทศจะมีเหมืองแร่ แต่ส่วนใหญ่ยังต้องส่งวัตถุดิบไปจีนเพื่อแปรรูป
ทำให้ยังพึ่งพาจีนอยู่มาก ซึ่งการควบคุมดังกล่าวยังจุดกระแสความกังวลในกลุ่มศูนย์กลางการผลิตในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ว่าห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกยังคงเปราะบางต่อความสัมพันธ์ที่ผันผวนระหว่างสองมหาอำนาจ
จีนถือไพ่เหนือคุมกระบวนการแปรรูปทั่วโลก
จีนยังคงควบคุมกระบวนการแปรรูปแร่หายากเกือบทั้งหมดของโลก ซึ่งทำให้สี จิ้นผิง มีอำนาจต่อรองสูงในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ มาตรการควบคุมการส่งออกของจีนได้จำกัดปริมาณแร่หายากในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ทั้งสองประเทศพยายามเจรจาข้อตกลงครอบคลุมหลายประเด็น ตั้งแต่ภาษีนำเข้าไปจนถึงการขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ
ข้อมูลจาก Chatham House และ CSIS ระบุว่า จีนครองการผลิตเหมืองแร่หายากราว 70% ของโลก และควบคุมกระบวนการแปรรูปมากกว่า 90% สิ่งนี้ทำให้จีนมีอำนาจต่อรองสูงในตลาดโลก และใช้ “แร่หายาก” เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ทั้งในการค้าระหว่างประเทศ และในอุตสาหกรรมความมั่นคง
รายงานระบุว่า China Northern Rare Earth ในภาคเหนือของจีนควบคุมเหมือง โรงแปรรูป การแยกแร่ โดยมีบทบาทระดับรัฐวิสาหกิจและอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่ของจีน ข้อมูลระบุว่า หลังการควบรวมบริษัทผู้ผลิตแร่อย่างแพร่หลาย อุตสาหกรรมแร่หายากในภูมิภาคมองโกเลียในถูกควบคุมโดย China Northern Rare Earth Group หนึ่งเดียว
เกมระหว่างมหาอำนาจยังไม่จบ
ด้วยการดึงประเทศเศรษฐกิจสำคัญอย่างญี่ปุ่นและออสเตรเลียเข้าสู่ข้อตกลงลงทุนที่ช่วยให้สหรัฐฯ มีอำนาจควบคุมแหล่งแร่หายากมากขึ้น ทรัมป์จะมีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นในเวทีเจรจากับสี จิ้นผิง ในวันพฤหัสบดีนี้ แต่ความจริงก็คือ จีนยังคงควบคุมการแปรรูปแร่หายากราว 70% ของโลก และการไล่ตามให้ทันจำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค การสร้างโรงงานแปรรูปเพียงแห่งเดียวอาจใช้เวลาหลายปีตั้งแต่เริ่มออกแบบจนถึงผลิตได้เต็มกำลัง แม้ออสเตรเลียจะเดินหน้าแผนเพิ่มการผลิตมานานแล้ว แต่โรงงานหลายแห่งยังไม่สามารถดำเนินงานได้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น จีนไม่ได้ยืนดูเฉย เพราะการค้ากับเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกประเทศในภูมิภาค รวมถึงญี่ปุ่น ดังนั้นสหรัฐฯ ไม่อาจมองข้ามอิทธิพลของปักกิ่ง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเด็นสิ่งแวดล้อมยังเป็นคำถามใหญ่
อีกประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้รับคำตอบคือ กฎระเบียบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการทำเหมืองและแปรรูปแร่หายากสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง กระบวนการแยกสกัด ละลายด้วยสารเคมี การเผาแยก และการกลั่น ล้วนก่อให้เกิดสารกัมมันตรังสี ซึ่งผลกระทบในจีนได้รับการบันทึกไว้อย่างกว้างขวาง ทำให้อุตสาหกรรมนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ
บริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดนอกจีน ต้องพึ่งพามาเลเซียในการกลั่นบางส่วน แต่เผชิญปัญหาด้านกฎระเบียบมาโดยตลอด
จุดเปลี่ยนก่อนเอเปค 2025
แม้สหรัฐฯ จะรุกขยายพันธมิตรด้านแร่หายากในเอเชียเพื่อกระจายความเสี่ยงจากจีน แต่ล่าสุด สัญญาณจากทั้งสองฝ่ายเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อมีรายงานว่าสหรัฐเเละจีนบรรลุฉันทามติในข้อตกลงเบื้องต้น ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ เช่น
ขณะที่สหรัฐฯ เตรียม ยกเว้นภาษีชั่วคราวสำหรับสินค้าบางรายการจากจีน ส่วนจีนเอง ตกลงซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และอาจ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากออกไปประมาณ 1 ปี ข้อตกลงเหล่านี้สะท้อนท่าที “พักศึก” ชั่วคราว
อ้างอิงข้อมูล