KEY
POINTS
(27 ต.ค.68) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ ขณะที่ทั่วโลกต่างจับตามองสัปดาห์ที่สำคัญของการเจรจาการค้าและการประชุมธนาคารกลางทั่วโลก สถานการณ์ในตลาดการเงินกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและนโยบายในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ โดยมีกำหนดเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ในวันอังคาร เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและนโยบายการค้า ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC Summit) ที่เมืองคย็องจู ในวันพฤหัสบดี ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญที่ทรัมป์จะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับการปิดดีลข้อตกลงการค้า หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากทั้งสองประเทศเพิ่งจะสรุปเนื้อหาร่างเบื้องต้นได้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ในวันพุธนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะมีการประชุมนโยบายการเงิน และดูเหมือนว่าตลาดจะ “มั่นใจเต็มร้อย” ว่าเฟดจะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25 จุด ทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 4.00%-4.25% หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดคือแถลงการณ์ของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งอาจจะเป็นตัวชี้วัดถึงทิศทางดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ถ้าพาวเวลล์แสดงท่าทีที่ระมัดระวังต่อเศรษฐกิจโลก นั่นอาจจะช่วยกระตุ้นให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์มีการปรับตัวขึ้น 0.2% โดยอยู่ที่ 153.12 เยน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักอยู่ที่ 98.94 ส่วนยูโรคงที่ที่ 1.1628 ดอลลาร์ แต่กลับแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเปรียบเทียบกับเยนที่ 178.13 เยนต่อยูโร ขณะที่ปอนด์สเตอร์ลิงก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ 1.3316 ดอลลาร์
ในภูมิภาคเอเชีย ค่าเงินออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้น โดยดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.3% อยู่ที่ 0.6535 ดอลลาร์สหรัฐฯ และดอลลาร์นิวซีแลนด์ก็มีการขยับขึ้น 0.2% อยู่ที่ 0.5761 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็เคลื่อนไหวในแนวทางบวกเช่นเดียวกัน โดยบิตคอยน์เพิ่มขึ้น 1.4% อยู่ที่ 114,921.04 ดอลลาร์ ส่วนอีเธอเรียมพุ่งขึ้น 2.5% ที่ 4,167.08 ดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงการไหลเข้าของเงินทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ แสดงสัญญาณการชะลอตัว
สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าการพูดคุยด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เกิดขึ้นในระหว่างการประชุมอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้ลดความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะต้องเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ พร้อมทั้งยังกล่าวว่าจีนอาจจะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก “แร่หายากและแม่เหล็กถาวร” ออกไปอีกหนึ่งปี เพื่อที่จะมีเวลาในการพัฒนานโยบายใหม่
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็กำลังเตรียมจัดประชุมในวันที่ 29-30 ตุลาคม เพื่อพิจารณาว่าสถานการณ์เศรษฐกิจพร้อมสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยแล้วหรือยัง หลังจากที่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยจากสงครามการค้าเริ่มลดลง แต่กลุ่มนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิได้เรียกร้องให้ BOJ สนับสนุนนโยบายกระตุ้นเงินเฟ้อผ่านการปรับขึ้นค่าจ้าง แทนที่จะพึ่งพาแรงกดดันด้านราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว