KEY
POINTS
ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงและแนวโน้มที่ยังไม่ชัดเจน ปัจจัยที่น่าสนใจและมีพลังขับเคลื่อนที่ซับซ้อนคือ การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนในด้าน AI นี้ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญในการเพิ่มผลผลิตทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าการลงทุนโดยรวมจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นกลับถูกกลบด้วยการใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นในอุปกรณ์และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรวมถึงการลงทุนใน AI ด้วย
อย่างไรก็ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาเตือนว่า ความเจริญรุ่งเรืองของ AI ในช่วงเวลานี้มีความคล้ายคลึงกับยุคฟองสบู่ดอทคอมในปลายทศวรรษ 1990 โดยชี้ให้เห็นว่าความหวังของตลาดต่อเทคโนโลยีใหม่ที่เคยเป็นอินเทอร์เน็ตและในตอนนี้คือ AI กำลังทำให้มูลค่าของหุ้นพุ่งสูงขึ้น ปรากฏการณ์นี้ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีอย่างมากและยังช่วยสนับสนุนการบริโภคโดยใช้ผลกำไรจากทุนที่แข็งแกร่ง ในความเป็นจริง ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาได้แสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีกำไรส่วนใหญ่มาจากหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนในศูนย์ข้อมูลและ AI ก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของการลงทุนโดยรวมในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ท่ามกลางความคึกคักนี้กลับมีความเสี่ยงที่สำคัญซ่อนอยู่สองประการ ได้แก่
หากเกิดการปรับราคาอย่างมีนัยสำคัญในตลาด ซึ่งอาจถูกจุดชนวนเมื่อผลประกอบการและผลกำไรด้านผลิตภาพที่เชื่อมโยงกับ AI เริ่มไม่เป็นไปตามคาดการณ์ มันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งและการบริโภคโดยรวม และอาจขยายผลไปยังตลาดการเงินในวงกว้าง การปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นจากความเฟื่องฟูของ AI นี้อาจมีความรุนแรงไม่ต่างจากวิกฤตดอทคอมในปี 2000-2001 โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการครอบงำของบริษัทเทคโนโลยีเพียงไม่กี่แห่งในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และการมีส่วนร่วมของเงินทุนจากสินเชื่อเอกชนที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลเท่าที่ควรซึ่งสนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรม
ผลกระทบจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ลดลงเนื่องจากราคาที่สูงเกินจริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ นี้ อาจมีผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หากผลกำไรจากการใช้ AI ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง นั่นอาจส่งผลให้ราคาหุ้นของกลุ่มนี้ลดลง ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค การเกิดภาวะตลาดแตก (Bust) ที่อาจเกิดขึ้นจะสามารถกัดเซาะความมั่งคั่งของครัวเรือนและทำให้การบริโภคลดน้อยลงได้ นอกจากนี้ หากความตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI ทำให้มีการไหลเข้าของเงินทุนอย่างเกินควรในบริษัทหรือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง การแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลงและเกิดปัญหาในการจัดสรรเงินทุนที่ผิดพลาด (Capital Misallocation) ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในศูนย์ข้อมูลและ AI ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนเติบโตในช่วงที่ผ่านมา หากเกิดการปรับฐานในภาคนี้ อาจส่งผลให้การลงทุนโดยรวมลดลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีความเสี่ยงที่มองไปในทางลบอยู่มากมาย ก็ยังมีปัจจัยบวกที่สามารถทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกสดใสขึ้นได้ หากมีการนำ AI มาใช้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ก็อาจช่วยปลดปล่อยศักยภาพด้านผลิตภาพที่แข็งแกร่ง (Faster Productivity Growth) ซึ่งจะนำมาซึ่งผลกำไรในระบบเศรษฐกิจ เมื่อพิจารณาในกรณีที่ไม่สูงเกินไป ผลกระทบจากปัจจัยนี้อาจทำให้ผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4 เปอร์เซ็นต์ในระยะสั้น และจากการจำลองสถานการณ์ในกรณีที่ผลประโยชน์จาก AI สูงกว่าที่คาดการณ์ จะทำให้ GDP ของโลกเพิ่มขึ้นราว 0.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2026 และอาจมีผลประโยชน์สะสมในระยะยาวที่จะทำให้ GDP โลกสามารถเพิ่มได้ถึง 1.4 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะขยายตัวตามเวลาเมื่อผลิตภาพดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและความพร้อมด้าน AI (AI Readiness) รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในทักษะแรงงานและการกำกับดูแลที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการในภาคเอกชนสามารถสร้างนวัตกรรมและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่ออนาคตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น