KEY
POINTS
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพุธ (15 ต.ค.) แต่ดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคาร Morgan Stanley และ Bank of America
ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น 1.5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นกลุ่มวัสดุและกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง 0.5% และ 0.47% ตามลำดับ
หุ้น Morgan Stanley พุ่งขึ้น 4.7% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่หุ้นธนาคาร Bank of America พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 3/2568 ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารในดัชนี S&P500 ดีดตัวขึ้น 1.2%
ก่อนหน้านี้ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐฯ ได้รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดเช่นกัน ซึ่งรวมถึง JPMorgan Chase, Goldman Sachs และ Citigroup โดยข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ และส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี
ดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia SE Semiconductor Index) พุ่งขึ้น 3% หลังจาก ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปรายใหญ่สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานและยอดขายที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3/2568 โดยได้ปัจจัยหนุนจากกระแสความนิยมด้านการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งนี้ หุ้น ASML ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 2.7%
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยล่าสุด สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งด้านการค้ากับจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น และย้ำว่าปธน.ทรัมป์พร้อมที่จะพบปะกับปธน.สี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนนี้
นอกจากนี้ เบสเซนต์เปิดเผยว่า วางแผนที่จะเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) จำนวน 3 หรือ 4 คนให้ปธน.ทรัมป์สัมภาษณ์ ในข่วงหลังวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)
สตีเฟน มิแรน สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟดเปิดเผยกับ CNBC ว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ที่เฟดได้รวบรวมจนถึงวันที่ 6 ต.ค.บ่งชี้ว่า มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่เลย์ออฟพนักงานเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และหันไปเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ จำนวนแรงงานในธุรกิจด้านการบริการ การเกษตร การก่อสร้าง และการผลิต เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากมาตรการปราบปรามคนเข้าเมืองผิดกฎหมายของรัฐบาลทรัมป์