KEY
POINTS
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (9 ต.ค.) เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและไม่มีปัจจัยใด ๆ เข้ามาชี้นำตลาด
ทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนเข้าสู่ฤดูการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ การปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 9 และแทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณชั่วคราว ส่งผลให้นักลงทุนขาดแคลนข้อมูลเศรษฐกิจที่จำเป็น
วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวครั้งที่ 6 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียง 54 ต่อ 45 แต่คะแนนสนับสนุนไม่ถึง 60 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญในการผ่านร่างกฎหมายเพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลมีงบประมาณไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. ส่งผลให้การชัตดาวน์ยังคงดำเนินต่อไป
ขณะที่สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) ประมาณการว่า พนักงานของรัฐบาลกลางประมาณ 750,000 คนจะถูกสั่งพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงการชัตดาวน์
โดยการขาดแคลนข้อมูลจากภาครัฐได้ทำให้นักลงทุนหันไปจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยในสัปดาห์หน้า จะเป็นการรายงานจากธนาคารรายใหญ่อย่าง JPMorgan Chase, Goldman Sachs, Citigroup และ Wells Fargo ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ LSEG คาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะเพิ่มขึ้น 8.8% ในไตรมาส 3 ซึ่งน้อยกว่าในไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัว 13.8%
อย่างไรก็ดี การขาดแคลนปัจจัยชี้นำตลาดยังทำให้นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยล่าสุด จอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกก่อนสิ้นปีนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความอ่อนแอ
ส่วนเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณใด ๆ เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในระหว่างการกล่าวเปิดการประชุมว่าด้วยธนาคารชุมชนเมื่อวานนี้ โดยเขากล่าวเพียงว่า ธนาคารชุมชนมีความสำคัญต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ และย้ำว่าเฟดจะรับฟังความคิดเห็นของผู้บริหารธนาคารชุมชน และพร้อมที่จะปรับการกำกับดูแลให้เหมาะสม เพื่อรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของระบบธนาคารสหรัฐฯ
เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 94.6% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค.
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.52% และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 1.44% ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น 0.61%