KEY
POINTS
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (13 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนบวกเช่นกัน
โดยหุ้น Broadcom และหุ้นบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ พุ่งขึ้นนำตลาด เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงกับจีน
โดยบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุน หลังจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ Fox Business Network ว่า ทรัมป์ยังคงมีกำหนดการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างจริงจังและสามารถลดระดับความตึงเครียดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้งเบสเซนต์ยังระบุอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปในทางที่ดี และมาตรการภาษี 100% ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะเรียกเก็บจากจีนนั้น อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น
รวมถึงบอกว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐฯ จะมีการหารือกันที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ นอกรอบการประชุมประจำปีของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (9 ต.ค.) จีนได้ประกาศมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแร่หายาก ส่งผลให้ปธน.ทรัมป์ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับสินค้าจีนทั้งหมด
และคุมเข้มการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. อย่างไรก็ดี ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (12 ต.ค.) ปธน.ทรัมป์มีท่าทีอ่อนลง โดยเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดี และสหรัฐฯ ไม่ต้องการทำร้ายจีน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อบริษัทในวอลล์สตรีท โดยในวันนี้ (14 ต.ค.) จะเป็นการรายงานผลประกอบการของธนาคาร JPMorgan Chase , Goldman Sachs , Citigroup และ Wells Fargo
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยการชัตดาวน์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค. และยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว โดยล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ได้เลิกจ้างพนักงานจำนวนหลายสิบคนที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งรวมถึงนักระบาดวิทยาและนักวิทยาศาสตร์อาวุโส