KEY
POINTS
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “สงครามในกาซา” ได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากที่ความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อมานานถึง 2 ปี โดยล่าสุดมีข้อตกลงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ส่งผลให้มีการปล่อยตัวประกันชุดสุดท้ายและนักโทษชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญต่อสันติภาพที่ทั้งโลกจับตามอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ผ่านมา ฮามาสได้ส่งมอบตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตอยู่จำนวน 20 คนให้กับคณะกรรมการกาชาดสากล ก่อนจะถูกนำตัวกลับไปยังอิสราเอล ท่ามกลางเสียงหัวเราะและน้ำตาของความดีใจ พร้อมกับการกอดกันแน่นของครอบครัวที่รออยู่ที่ “Hostage Square” ในกรุงเทลอาวีฟ ขณะที่อีกด้านในฉนวนกาซ่า ก็มีภาพความดีใจเช่นเดียวกันเมื่ออิสราเอลส่งตัวนักโทษและผู้ถูกควบคุมตัวชาวปาเลสไตน์เกือบ 2,000 คน กลับบ้าน ท่ามกลางฝูงชนหลายพันคนที่มาร่วมกันต้อนรับอย่างอบอุ่น
ทรัมป์ได้ประกาศที่รัฐสภาอิสราเอล (Knesset) ว่า “ท้องฟ้าเงียบสนิท ปืนได้หยุดยิง เสียงไซเรนเงียบหาย และดวงอาทิตย์ได้ส่องสว่างบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง” พร้อมทั้งย้ำว่าสงครามที่เป็น “ฝันร้ายยาวนาน” สำหรับทั้งสองฝ่ายได้สิ้นสุดลงแล้ว
ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจากการไกล่เกลี่ยของสหรัฐฯ ร่วมกับอียิปต์ กาตาร์ และตุรกี ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงในระยะที่หนึ่งในการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษ รวมถึงการหยุดยิงระหว่างฮามาสกับอิสราเอล หลังจากการสู้รบที่ยืดเยื้อและทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ต่อมา ทรัมป์ได้เดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดที่เมืองตากอากาศชาร์ม เอล-ชีค ประเทศอียิปต์ โดยมีประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซีซี เป็นเจ้าภาพ และมีผู้นำจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นจากยุโรปหรือตะวันออกกลาง แม้ว่าอิสราเอลและฮามาสจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาโดยตรง แต่ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับอนาคตของกาซ่า ทั้งในเรื่องการปกครอง ความมั่นคง และการฟื้นฟูประเทศ
ในการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ได้ลงนามในเอกสารร่วมกับผู้นำจากอียิปต์ กาตาร์ และตุรกี เพื่อยืนยันความร่วมมือในการสร้างสันติภาพและเก็บรักษาข้อตกลงนี้ให้อยู่ในความทรงจำทางประวัติศาสตร์ พร้อมกับกล่าวว่า “นี่อาจจะเป็นข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพทางการเมืองของผม”
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ข้างหน้า เนื่องจากยังมีชาวอิสราเอลที่เป็นตัวประกันอีก 26 คนที่สูญหายซึ่งต้องตามหาศพกลับบ้าน รวมถึงอีก 2 คนที่ยังไม่ทราบชะตากรรม ขณะเดียวกันกาซ่ายังคงเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง องค์การสหประชาชาติได้เตือนว่าเราจำเป็นต้องรีบจัดส่งอาหาร ยา ที่พักพิง และเชื้อเพลิงเพื่อช่วยเหลือประชาชนหลายแสนคนที่กำลังประสบกับการขาดแคลนอย่างหนัก
สงครามในครั้งนี้ได้สร้างบาดแผลลึกให้กับภูมิภาค โดยมีรายงานจากทางการกาซ่าว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 68,000 คน และบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง แม้ว่าจะเริ่มมีการกลับมาของผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลังจากการถอนทัพบางส่วนของอิสราเอล แต่ความมั่นคงในพื้นที่ยังคงเปราะบาง โดยมีรายงานว่าฮามาสได้สังหารสมาชิกของกลุ่มคู่แข่งกว่า 30 คนในเมืองกาซ่าซิตี เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการควบคุมพื้นที่
ในเวสต์แบงก์ สถานการณ์ก็ยังตึงเครียดเมื่ออิสราเอลขยายการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวต่อไปในพื้นที่ที่ชาวปาเลสไตน์มองว่าควรจะเป็นรัฐของตนเอง ซึ่งทำให้การเจรจาสันติภาพระยะยาวซับซ้อนมากขึ้น
ระหว่างที่อยู่ในเครื่องบินเดินทางมายังภูมิภาค ทรัมป์ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ ได้ให้ฮามาสมีโอกาสรักษาความสงบในช่วงเปลี่ยนผ่านชั่วคราว “พวกเขาต้องการหยุดปัญหา และเราก็ได้ให้โอกาสนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง”
สงครามในกาซ่าที่กินเวลานานถึงสองปีนี้ไม่ได้ทำลายชีวิตผู้คนเพียงแค่หมื่นคนเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลางอย่างสิ้นเชิง โดยในช่วงนี้อิสราเอลได้ทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลา 12 วันและโจมตีพันธมิตรของอิหร่านในภูมิภาค เช่น ฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอนและฮูตีในเยเมน ทำให้เกิดการระเบิดของสงครามไปทั่วภูมิภาค
ทรัมป์ได้กล่าวว่า “ข้อตกลงสันติภาพในกาซ่า” จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายความร่วมมือในภูมิภาคอย่างมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีหลายประเทศเข้าร่วมในกรอบ “ข้อตกลงอับราฮัม” (Abraham Accords) และอาจจะเปิดทางไปสู่ “ข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล” ซึ่งทรัมป์กล่าวในสภาอิสราเอลว่า “จะดีแค่ไหนถ้านี่เกิดขึ้นจริง”