KEY
POINTS
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากในกรุงมะนิลาและเมืองใหญ่ทั่วประเทศได้ออกมารวมตัวกันประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาการทุจริตที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก หลังจากที่มีการเปิดเผยว่ามีเงินภาษีของประชาชนมากกว่า 60,000 ล้านบาทถูกนำไปใช้ในโครงการบรรเทาน้ำท่วมที่ไม่เคยมีการดำเนินการจริง
คนหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนบนถนนเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งมีเสียงเรียกร้องที่เด่นชัดคือ "หยุดโกง คืนเงินให้ประชาชน และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด" การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่กลุ่มนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีคนจากหลากหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มศาสนาและบุคคลมีชื่อเสียง ร่วมในความเคลื่อนไหวนี้ โดยมีคนประมาณ 50,000 คนเข้าร่วมในช่วงเช้า และยังมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอีกหลายพันคนในช่วงบ่าย
สาเหตุที่ทำให้ประชาชนออกมาประท้วงเกิดจากการเปิดเผยข้อมูลว่า ฟิลิปปินส์อาจสูญเสียเศรษฐกิจจากการทุจริตในโครงการควบคุมน้ำท่วมถึง 1.48 พันล้านปอนด์หรือราว 60,000 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มกรีนพีซคาดว่าความเสียหายจากการทุจริตในปี 2023 อาจสูงถึง 13 พันล้านปอนด์ ทั้งนี้เนื่องจากฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุและมรสุมเฉลี่ยปีละ 20 ลูก แต่โครงการสำคัญกลับไม่ถูกดำเนินการจริง
แรงกดดันเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการกล่าวหาว่าสมาชิกสภาและเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนได้รับเงินสินบนเพื่ออนุมัติโครงการ และมีภาพของเจ้าของบริษัทก่อสร้างที่ถูกเปิดเผยว่าจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่มากถึง 30 คน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่หรูหราของพวกเขา ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น
แม้การชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่ามีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง 72 คน รวมทั้งเยาวชน 20 คน และเจ้าหน้าที่อีก 39 คนได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ โดยมีเหตุการณ์ที่มีการจุดไฟเผารถพ่วงที่ใช้เป็นแนวกั้นเกิดขึ้น
ทั้งนี้ วันที่ 21 กันยายน เป็นวันครบรอบการประกาศกฎอัยการศึกในปี 1972 โดยอดีตผู้นำเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งมีอำนาจนานถึง 14 ปี และถูกกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์สินของประเทศไปนับพันล้านดอลลาร์ ท่าทีของการชุมนุมจึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าประชาชนไม่ยินดีให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันและลูกชายของอดีตผู้นำได้ออกมากล่าวว่า ตนเข้าใจความโกรธของประชาชน โดยบอกว่า "จะไปโทษประชนที่ออกมาเดินขบวนได้อย่างไร? ถ้าผมไม่ใช่ประธานาธิบดี ผมก็อาจออกไปกับพวกเขา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้อง” พร้อมกับยืนยันว่าการสอบสวนจะไม่ละเว้นผู้ที่มีอำนาจใหญ่โตแต่อย่างใด