อินเดียโวย ทรัมป์ฟันค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B แสนดอลลาร์ กระทบ 'แรงงานทักษะสูง'

20 ก.ย. 2568 | 22:55 น.

จับตาผลกระทบทรัมป์ขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ปีละ 100,000 ดอลลาร์ อินเดียค้าน-วิจารณ์หนักกระทบแรงงานทักษะสูง สะเทือนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่

KEY

POINTS

  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานทักษะสูงในอัตรา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
  • อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุด แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่จะเกิดกับแรงงานและครอบครัว
  • มาตรการนี้สร้างความปั่นป่วนให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ และถูกวิจารณ์ว่าอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลก

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับวีซ่า H-1B ในอัตราที่สูงถึงปีละ 100,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 ล้านบาท ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เช่น อเมซอน, กูเกิล, แอปเปิล และบริษัทอื่นๆ ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ พร้อมทั้งมีเสียงวิจารณ์ว่ามาตรการนี้จะทำให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการดึงดูด “สมองระดับโลก” และอาจกระทบต่อครอบครัวของแรงงานที่มีทักษะสูง

การประกาศนี้สร้างความปั่นป่วนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก เนื่องจากมันมีผลกระทบต่อผู้สมัครใหม่ทั้งหมดและจะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งทำให้เกิดความสับสนและความวิตกกังวลในหมู่บริษัทเหล่านี้ รวมถึงผู้ถือวีซ่าที่อยู่ต่างประเทศในขณะนี้

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบถึง อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ได้รับวีซ่า H-1B มากที่สุด โดยกระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้ออกแถลงการณ์ถึงความวิตกกังวลในด้านเศรษฐกิจและผลกระทบต่อครอบครัวของแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งอาจเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการใหม่

วีซ่า H-1B คืออะไร

วีซ่า H-1B คือวีซ่าทำงานชั่วคราวที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาออกให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะเฉพาะด้าน เช่น ด้านไอที วิศวกรรม การแพทย์ และการเงิน ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1990 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทในสหรัฐฯ สามารถนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทำงานในตำแหน่งที่หาคนในประเทศได้ยาก วีซ่านี้มีระยะเวลาเริ่มต้น 3 ปี และสามารถขอขยายเวลาได้สูงสุดถึง 6 ปี นอกจากนี้ยังมีการจำกัดจำนวนผู้ที่ได้รับอนุมัติในแต่ละปีที่ 65,000 คน และจะมีการเพิ่มอีก 20,000 คนสำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ วีซ่านี้ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจและนวัตกรรมในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันสูง

 

ในปัจจุบัน บริษัทที่ใช้แรงงาน H-1B มากที่สุดคือ Amazon ซึ่งมีพนักงานมากกว่า 10,000 คน ตามมาด้วย Tata Consultancy Services, Microsoft, Meta, Apple และ Google ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลของสหรัฐฯ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ต่อคน ถูกมองว่าเป็นภาระอย่างมากและอาจทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องทบทวนกลยุทธ์การสรรหาบุคลากรใหม่

โดยประกาศกำหนดให้ผู้ถือวีซ่า H-1B สามารถเข้ามาทำงานในอาชีพเฉพาะทางได้ก็ต่อเมื่อมีการชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยข้อจำกัดนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เป็นต้นไป

การประกาศนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างกว้างขวาง บริษัทอย่าง Microsoft, JPMorgan และ Amazon ต้องเร่งเตือนพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B ให้คงอยู่ในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ทนายความด้านตรวจคนเข้าเมืองบางคนแนะนำให้ผู้ที่อยู่ต่างประเทศรีบกลับเข้ามาในสหรัฐฯ ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจถูกปฏิเสธการเดินทาง

แม้เจ้าหน้าที่รัฐบาลจะพยายามยืนยันว่ามาตรการใหม่นี้จะกระทบเฉพาะผู้สมัครใหม่ แต่ข้อความในประกาศจากทำเนียบขาวกลับไม่มีความชัดเจน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการตีความอาจไม่ตรงกันในทางปฏิบัติ และอาจนำมาซึ่งการฟ้องร้องทางกฎหมายเช่นเดียวกับกรณีคำสั่งแบนการเดินทางเมื่อปี 2017 ที่สร้างความสับสนอย่างมาก

ฝ่ายสนับสนุนอย่างรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค แสดงความเห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่ควรหันมาลงทุนในการฝึกอบรมแรงงานอเมริกันแทนที่จะพึ่งพาแรงงานต่างชาติ แต่มีเสียงคัดค้านจากนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่เตือนว่าการตั้งกำแพงค่าธรรมเนียมเช่นนี้ จะทำให้การดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลกลดน้อยลง และอาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมของสหรัฐฯ ถดถอยลง