KEY
POINTS
ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 8 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษีมหาศาล การพยายามสั่นคลอนอำนาจธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หรือแม้กระทั่งการผลักดันแนวทางรัฐทุนนิยมในรูปแบบใหม่ สิ่งที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นหายนะกลับยังไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจโลกยังเติบโต ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น และแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
BNP Paribas วิเคราะห์ว่า ความแกร่งของเศรษฐกิจโลกเกิดจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งสภาพการเงินที่เอื้ออำนวย งบดุลของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่แข็งแรง การคาดหวังว่าปัญญาประดิษฐ์จะช่วยเพิ่มผลิตภาพ และราคาพลังงานที่ลดลง ขณะเดียวกัน ความหวาดกลัวเรื่องสงครามการค้ารุนแรงที่เคยถูกประเมินว่าอาจหยุดชะงักระบบการค้าโลกก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง แม้หลายประเทศจะถูกกดดันด้วยภัยคุกคามภาษีสูง แต่สุดท้ายข้อตกลงการค้าแบบประนีประนอมก็ทำให้ภาระภาษีถูกกระจายออกไประหว่างผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้บริโภค
อีกหนึ่งแรงกดดันที่ถูกจับตามากคือความพยายามของทรัมป์ในการกดดันเฟด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้ประธานเจอโรม พาวเวลลาออก หรือการพยายามปลดผู้ว่าการลิซ่า คุก แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ และตลาดการเงินยังเลือกเพิกเฉยต่อความเสี่ยงเหล่านี้ สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับลดจากราว 4.6% เหลือราว 4.1% ขณะที่เฟดยังมั่นใจในการควบคุมเงินเฟ้อถึงขั้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ล่าสุด
บรรยากาศเช่นนี้ได้เปิดพื้นที่หายใจให้เศรษฐกิจโลก แม้จีนยังเผชิญภาวะชะลอตัวแต่ก็ยังไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเพราะการส่งออกและตลาดหุ้นยังพยุงตัวได้ ขณะที่ยุโรปเริ่มส่งสัญญาณดีกว่าคาด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับคาดการณ์ GDP ปี 2025 เพิ่มเป็น 1.2% จาก 0.9% โดยอาศัยแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ อิตาลีก็มีแนวโน้มได้รับการปรับเครดิตเรตติ้งดีขึ้นจากการจัดการหนี้สาธารณะ ส่วนสเปนยังคงร้อนแรงด้วยอัตราการเติบโตที่คาดว่าจะพุ่งถึง 2.6% ในปีหน้า
เยอรมนีซึ่งเคยอยู่ในภาวะซบเซากำลังจะกลับมาเติบโตได้สูงถึง 1.5-2.0% ในปี 2026-2027 จากการอัดฉีดงบโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนด้านกลาโหม และการปรับลดภาษี ขณะที่ญี่ปุ่นก็พบว่าภาคการผลิตมีความเชื่อมั่นสูงที่สุดในรอบกว่า 3 ปี ส่วนเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ยังคงยืนหยัดได้เพราะดอลลาร์อ่อนค่า โดยบราซิล เม็กซิโก และอินเดียถูกมองเป็นจุดสว่างที่ช่วยดึงภาพรวม
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเหล่านี้ยังไม่ใช่รากฐานที่มั่นคง การปรับตัวต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กำลังค่อยๆ แสดงผลกับผู้ส่งออกจากญี่ปุ่นถึงเยอรมนี ธนาคารกลางญี่ปุ่นเตือนว่าผลกระทบอาจใช้เวลานานกว่าจะปรากฏชัด ขณะที่นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าตลาดกำลังเพิกเฉยต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ภาคที่อยู่อาศัยที่ซบเซา และแรงกดดันต่อการวิจัยและมหาวิทยาลัยจากนโยบายทรัมป์
ผู้จัดการกองทุนจาก Janus Henderson เตือนว่า จุดอ่อนของตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจเป็นชนวนถดถอยได้ทุกเมื่อ แต่ตลาดกลับมองว่าเฟดพร้อมเข้ามาช่วยเหลือเสมอ ขณะที่ Alan Siow จาก Ninety One ชี้ว่าห่วงโซ่อุปทานโลกยังซ่อนปัญหาที่จะค่อยๆ แสดงออก เนื่องจากยังมีสต๊อกสินค้าสะสมจากช่วงโควิดและการเร่งนำเข้าก่อนหน้าภาษีทรัมป์
แม้ดัชนีตลาดหุ้นและสินทรัพย์หลายชนิดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่เสียงสะท้อนจากนักลงทุนบางส่วนก็เต็มไปด้วยความกังวลว่านี่อาจไม่สะท้อนความจริงที่อยู่เบื้องล่าง ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจึงยังต้องเผชิญการปรับตัวที่ยาวนานและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ปัจจุบันยังสามารถทนแรงสั่นสะเทือนจาก “ทรัมป์ช็อก” ได้อย่างน่าประหลาดใจก็ตาม