KEY
POINTS
กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกมายืนยันว่า การเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลานี้ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะออกมาแสดงท่าทีเรียกร้องผ่านสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยให้เร่งดำเนินการก็ตาม โดยจุดยืนของไทยชัดเจนว่า หาก 3 เงื่อนไขสำคัญยังไม่บรรลุผล ได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปรับอัตราอาวุธ และการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์ การเปิดด่านยังเป็นได้เพียง “แนวคิด” ไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นได้ทันที
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ว่า กระทรวงรับทราบถึงความกังวลของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่าน โดยเฉพาะในมิติห่วงโซ่อุปทานข้ามพรมแดน แต่ย้ำว่ากระบวนการใด ๆ ต้องใช้เวลาและอ้างอิงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ การที่สถานทูตญี่ปุ่นออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 กันยายน เป็นเพียงการแสดงความยินดีต่อพัฒนาการเชิงบวกจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา
ในการประชุมดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในหลายประเด็นที่ถือเป็นก้าวหน้าสำคัญ เช่น การจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะในประเด็น “สแกมเมอร์” ที่ไทยผลักดันมาโดยตลอด ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้งสองประเทศตั้งคณะทำงานร่วมภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อวางแผนปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งข้อมูลพิกัดแหล่งกบดานสแกมเมอร์กว่า 60 แห่งในกัมพูชาให้แล้ว และมีการนัดหมายหารือประสานงานเพิ่มเติมในวันที่ 16 กันยายนนี้ที่จังหวัดสระแก้ว
ด้านรัฐบาลญี่ปุ่น โดย นายคิตามูระ โทชิฮิโระ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ชื่นชมต่อความสำเร็จของการประชุม GBC ที่ช่วยผลักดันให้การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาก้าวหน้าไปอีกขั้น พร้อมยกย่องความพยายามทางการทูตของทุกฝ่าย รวมถึงมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการหยุดยิงครั้งนี้ ญี่ปุ่นย้ำว่าความร่วมมืออันดีระหว่างไทยกับกัมพูชามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสันติภาพและการพัฒนาในภูมิภาค พร้อมประกาศจะเดินหน้าสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความตึงเครียด
นายนิกรเดชกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้หารือประเด็นอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงปลอดภัย และความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะบริเวณชายแดน โดยมี 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
1. การถอนอาวุธหนักและอาวุธยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนกลับที่ตั้งปกติตามกรอบเวลา โดยฝ่ายเลขานุการของ GBC และฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) จะหารือภายใน 3 สัปดาห์ การบรรลุข้อตกลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัย และจะช่วยให้ประชาชนของทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่ในชายแดนมีความมั่นใจในการดำรงชีวิตอย่างปกติในชีวิตประจำวันได้
2. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) หารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว และให้ RBC กำหนดแนวทางการบริหารจัดการตามที่ JBC ได้ตกลงกันแล้ว ระหว่างนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยจะร่วมการบริหารจัดการสถานการณ์ให้มีความสงบสุขเรียบร้อย
3. การลดวาทกรรมยั่วยุ ที่ประชุมเห็นความสำคัญหลีกเลี่ยงเผยแพร่ข้อมูลเท็จข้อมูลที่เป็นข่าวปลอม การกล่าวหา และวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ทั้งผ่านช่องทางทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียดและความรู้สึกด้านลบของสาธารณชน รวมทั้งเพื่อสร้างบรรยากาศที่จะเอื้อต่อการเจรจาโดยสันติวิธี
4. การผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทและบางจุด มอบหมายให้ RBC หารือความเป็นไปได้ให้มีการขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดน โดยเริ่มจากจุดที่มีความตึงเครียดน้อยที่สุด จุดประสงค์หลักคือ ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ผู้ประกอบการการค้าชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไปได้
นายนิกรเดชกล่าวว่า ตามที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงไปแล้ว ยังไม่มีการเปิดด่านในขณะนี้ และจะไม่มีการผ่อนปรนส่งสินค้าใด ๆ หากไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญใน 3 เรื่อง ได้แก่ การถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ชายแดน การร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ในระดับที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันได้
อย่างไรก็ตามนายนิกรเดชยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จของการใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา แต่สิ่งที่จะชี้ชัดว่าการเจรจาจะเดินหน้าไปสู่ผลลัพธ์ที่แท้จริงได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ “ความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชา” ซึ่งไทยจะต้องติดตามประเมินอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดว่าจะมีการจัดประชุม GBC สมัยพิเศษครั้งถัดไปภายใน 30 วัน โดยครั้งนี้ประเทศไทยจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ซึ่งถูกจับตามองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการขับเคลื่อนให้เงื่อนไข 3 ประการที่ไทยย้ำมาตลอดสามารถก้าวสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม