KEY
POINTS
เนปาลกำลังเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ หลังจากคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม “Gen Z” ออกมาลุกฮือประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ จุดชนวนด้วยคำสั่งรัฐบาลแบนสื่อสังคมออนไลน์ 26 แพลตฟอร์ม อ้างเหตุผลปราบข่าวปลอมและวาจาสร้างความเกลียดชัง แต่กลับถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดและเสียงวิจารณ์ นี่จึงกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ของความไม่พอใจที่สะสมมานานจากปัญหาคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความล้มเหลวของผู้นำทางการเมือง
การชุมนุมขยายตัวอย่างรวดเร็วและทวีความรุนแรง เมื่อผู้ประท้วงหลายหมื่นคนบุกเผาอาคารรัฐสภา สถานที่ราชการ รวมถึงบ้านพักนักการเมืองคนสำคัญ มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้กระสุนจริง แก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำแรงดันสูง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 30 ราย บาดเจ็บกว่า 1,000 คน เหตุการณ์นี้ทำให้นายกรัฐมนตรี คัดกา ปราสาท ชาร์มา โอลี ต้องตัดสินใจประกาศลาออก ขณะที่กองทัพเนปาลเข้าควบคุมสถานการณ์ในกรุงกาฐมาณฑุและประกาศเคอร์ฟิวทั่วเมือง
ความไม่พอใจของผู้ประท้วงไม่ได้หยุดอยู่เพียงคำสั่งแบนโซเชียล แต่ลึกลงไปคือการต่อต้านความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดระหว่างชีวิตหรูหราของ “Nepo Kids” ลูกหลานนักการเมือง กับสภาพความยากลำบากของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอัตราว่างงานที่สูงถึงร้อยละ 20 จนคนหนุ่มสาวต้องอพยพไปทำงานต่างประเทศ ขณะเดียวกันเนปาลยังเผชิญปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองต่อเนื่องกว่า 10 ปี นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐในปี 2008 ที่ผ่านมาเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีแล้วถึง 13 คน ไม่มีใครอยู่ครบวาระ
การลาออกของโอลีทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะสุญญากาศทางการเมือง ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะขึ้นมานำประเทศต่อ แต่รายงานระบุว่ากองทัพกำลังทาบทามนางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำชั่วคราว ซึ่งอาจเป็นการเลือกบุคคลอิสระที่กองทัพเชื่อมั่น เพื่อรักษาความสงบและหาทางออกจากวิกฤต
การลุกฮือของ Gen Z เนปาลครั้งนี้สะท้อนภาพใหญ่ของเอเชียใต้ ที่ก่อนหน้านี้ศรีลังกาและบังกลาเทศก็เคยเกิดการลุกฮือของประชาชนโค่นรัฐบาลมาแล้ว และการเปลี่ยนแปลงในเนปาลยังมีนัยต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองมหาอำนาจอย่างอินเดียและจีน รวมถึงมีความสัมพันธ์กับปากีสถาน การเปลี่ยนผู้นำและทิศทางการเมืองในกาฐมาณฑุจึงถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลต่อสมดุลทางอำนาจในภูมิภาค
นักวิเคราะห์เตือนว่า วิกฤตในเนปาลไม่ใช่เพียงเรื่องภายในประเทศ แต่สะท้อนแรงสั่นสะเทือนที่อาจขยายวงไปทั่วเอเชียใต้ และยังส่งสัญญาณถึงโลกว่าคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคนี้พร้อมจะลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมและความล้มเหลวของชนชั้นนำ หากเสียงของพวกเขายังถูกเพิกเฉยต่อไป วิกฤตการเมืองเนปาลครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศเล็กบนเทือกเขาหิมาลัย แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งภูมิภาคและโลก