KEY
POINTS
การประท้วงต่อต้านคำสั่งแบนโซเชียลมีเดียของเนปาลทวีความรุนแรง ผู้ชุมนุมจำนวนมากออกมาเผาสถานที่ราชการและบ้านพักนักการเมือง พร้อมทั้งบุกโจมตีผู้นำทางการเมืองหลายราย แม้รัฐบาลจะยกเลิกคำสั่งแบนแล้ว แต่การประท้วงยังดำเนินต่อไป
นายเค.พี.ชาร์มา โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชนชั้นการเมืองที่ลุกลามไปทั่วประเทศ ประธานาธิบดี ราม จันทรา เปาเดล ยอมรับการลาออกและแต่งตั้งโอลีเป็นหัวหน้ารัฐบาลรักษาการ แต่ยังไม่ชัดเจนถึงอำนาจที่เหลืออยู่
เผาสถานที่ราชการ-บ้านพักผู้นำ
สื่อท้องถิ่นเผย ผู้ชุมนุมเผาพระราชวังประธานาธิบดี บ้านพักนายกรัฐมนตรี และอาคารที่ทำการของนายกรัฐมนตรีรวมถึงหลายกระทรวง ควันดำหนาทึบลอยขึ้นจากอาคารสำนักงานนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้บ้านพักส่วนตัวของโอลีถูกวางเพลิง เช่นเดียวกับบ้านของประธานาธิบดี รัฐมนตรีมหาดไทย ครอบครัวเดอูบา และบ้านผู้นำฝ่ายค้าน พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล ก็ถูกเผาเช่นกัน
วิดีโอที่แชร์บนโซเชียลมีเดียยังเผยภาพผู้ชุมนุมทำร้าย เชอร์ บาฮาดูร์ เดอูบา ผู้นำพรรคเนปาลีคองเกรส และภริยาอรซู รานา เดอูบา ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บและต้องอพยพออกจากพื้นที่
Khabar Hub สำนักข่าวท้องถิ่นของเนปาล รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. กลุ่มผู้ประท้วงได้กักขังภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรีเนปาลไว้ในบ้าน แล้วจุดไฟเผาบ้าน เป็นเหตุให้เธอเสียชีวิต
ราชยลักษมี จิตราการ ภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรีเนปาล จาลา เนธ คานัล เสียชีวิตหลังถูกไฟคลอกภายในบ้าน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านพักของพวกเขาในย่านดัลลูของเมืองกาฐมาณฑุ
การชุมนุมเริ่มต้นตั้งแต่วันจันทร์ โดยมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นในกรุงกาฐมาณฑุ ฝูงชนปิดล้อมอาคารรัฐสภา ก่อนตำรวจเปิดฉากยิงสลายฝูงชน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 19 ราย และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 300 คนโดยมีบางสำนักข่าวรายงานยอดผู้เสียชีวิต22 ราย แต่ยังไม่ถูกยืนยัน
ผู้ชุมนุมตะโกน หยุดแบนโซเชียลมีเดีย หยุดคอร์รัปชัน ไม่ใช่โซเชียลมีเดีย ขณะโบกธงชาติทั่วเมือง
โอลีให้คำมั่นก่อนลาออกว่า จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนและรายงานผลใน 15 วัน พร้อมจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต และให้ผู้บาดเจ็บรักษาฟรี
เสียงเรียกร้องจากนานาชาติ
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ หลีกเลี่ยงความรุนแรงเพิ่มเติม และเปิดการสอบสวนควบคู่กับการเจรจาหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเน้นว่าการประท้วงต้องเคารพชีวิตและทรัพย์สิน และรัฐบาลเนปาลควรปฏิบัติตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนสากล
กองทัพเนปาลซึ่งยังไม่ได้เคลื่อนกำลังออกจากค่าย ออกแถลงการณ์ยืนยันว่ามีหน้าที่รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกระดมกำลังช่วยเหลือตำรวจหรือไม่
การชุมนุมครั้งนี้ถูกขนานนามว่า “การประท้วงของเจน Z” จุดชนวนจากคำสั่งบล็อกแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, X และ YouTube โดยรัฐบาลอ้างว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ลงทะเบียนและไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล
แต่ข้อเรียกร้องได้ลุกลามกว้างขึ้น กลายเป็นการระบายความไม่พอใจต่อความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการที่บุตรหลานนักการเมือง หรือ “nepo kids” มีอภิสิทธิ์ใช้ชีวิตหรูหรา ขณะที่เยาวชนส่วนใหญ่เผชิญปัญหาว่างงาน อัตราว่างงานในกลุ่มเยาวชนปีที่แล้วอยู่ที่ 20% และรัฐบาลประเมินว่ามีคนหนุ่มสาวกว่า 2,000 คนเดินทางออกนอกประเทศทุกวันเพื่อหางานในตะวันออกกลางหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ร่างกฎหมายคุมโซเชียล จุดชนวนความไม่พอใจ
การลุกฮือเกิดขึ้นในจังหวะที่รัฐบาลกำลังผลักดันร่างกฎหมายควบคุมโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มต้องมีสำนักงานหรือตัวแทนติดต่อในประเทศ เพื่อให้บริหารจัดการอย่างเหมาะสมและมีความรับผิดชอบ แต่ถูกวิจารณ์หนักว่าเป็นการปิดปากฝ่ายตรงข้าม
แพลตฟอร์มที่ยังไม่ตอบรับ ได้แก่ Google (YouTube), Meta (Facebook, Instagram, WhatsApp) และ X ของอีลอน มัสก์ ขณะที่ TikTok, Viber และอีก 3 แพลตฟอร์มยอมลงทะเบียนและให้บริการตามปกติ
เนปาลเคยสั่งแบน TikTok มาแล้วในปี 2023 โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวบ่อนทำลายความสามัคคีในสังคมและเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสม แต่คำสั่งถูกยกเลิกปีถัดมา หลัง TikTok ยอมทำตามกฎหมายท้องถิ่น รวมถึงกฎหมายแบนเว็บไซต์ลามกที่มีผลตั้งแต่ปี 2018