ย้อนรอย "อนุสัญญาออตตาวา" แก้ปัญหาทุ่นระเบิดของโลก คืออะไร

21 ก.ค. 2568 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ค. 2568 | 06:06 น.

รู้จัก "อนุสัญญาออตตาวา" (Ottawa Convention) ข้อตกลงสำคัญของประชาคมโลกในการยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลไทย 3 นายประสบเหตุจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลขณะลาดตระเวนในพื้นที่ช่องจาบ จังหวัดอุบลราชธานี ใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ ต้องออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งยังประกาศชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อนุสัญญาออตตาวา” ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและยึดมั่นมาโดยตลอด

อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention หรือ Mine Ban Treaty) คือสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines: APL) ทั่วโลก ไม่ว่าจะในยามสงครามหรือหลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง อนุสัญญานี้เปิดให้ประเทศต่าง ๆ ลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2542

เนื้อหาหลักของอนุสัญญากำหนดให้ประเทศภาคีห้ามใช้ ผลิต สะสม หรือโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงต้องทำลายทุ่นระเบิดที่มีอยู่ในครอบครองภายใน 4 ปีนับจากให้สัตยาบัน และต้องเคลียร์พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดภายใน 10 ปี พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ

ปัจจุบันมีประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาออตตาวาจำนวน 164 ประเทศทั่วโลก และยังมีหมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands) ที่แม้จะลงนามในสนธิสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน จึงยังไม่ถือว่าเป็นภาคีโดยสมบูรณ์ ข้อตกลงฉบับนี้นับเป็นหนึ่งในเสียงขานรับจากประชาคมโลกที่ต้องการเห็นอาวุธสังหารเงียบประเภทนี้หมดไปจากพื้นที่พลเรือนอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม ยังมีประเทศมหาอำนาจหลายรายที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย และปากีสถาน โดยแต่ละประเทศต่างให้เหตุผลหลากหลาย ทั้งในด้านความมั่นคงภายใน ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ และนโยบายป้องกันประเทศของตนเอง

ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ที่เข้าร่วม ต่างสามารถทำลายทุ่นระเบิดในสต็อกไปแล้วหลายสิบล้านลูก โดยมีรายงานว่าจำนวนทุ่นระเบิดที่ถูกทำลายภายใต้อนุสัญญานี้มีมากกว่า 50 ล้านลูก ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากทุ่นระเบิดลดลงจากระดับประมาณ 25,000 รายต่อปีในช่วงปี พ.ศ. 2533-2542 เหลือเพียงหลักพันในช่วงหลังปี 2553

แม้อนุสัญญาออตตาวาจะไม่มี "บทลงโทษ" โดยตรงในเชิงกฎหมายหากประเทศใดละเมิด แต่กลไกสำคัญอยู่ที่แรงกดดันจากประชาคมโลก การตรวจสอบจากองค์กรระหว่างประเทศ และการสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เคยลงนามแต่กลับไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพัน เช่น ไม่ทำลายทุ่นระเบิดในสต็อกภายในเวลาที่กำหนด หรือกลับมาใช้ทุ่นระเบิดอีกในสถานการณ์ความขัดแย้ง

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันอนุสัญญานี้เมื่อปี 2542 และมีบทบาทเชิงรุกในการดำเนินงานกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนเพื่อคืนผืนดินให้ประชาชน นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการเก็บกู้ การฝึกอบรม และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นล่าสุด การพบว่าทุ่นระเบิดที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทยเป็นของใหม่ ไม่ใช่ของที่ตกค้างจากสงคราม หรือของในคลังของกองทัพไทย ยิ่งตอกย้ำว่าภัยจากทุ่นระเบิดยังไม่สิ้นสุด และยังมีบางฝ่ายในภูมิภาคที่ไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ต่างก็เป็นภาคีอนุสัญญาเดียวกัน