KEY
POINTS
การประชุมสุดยอดผู้นำสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ประจำปี จัดขึ้นที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 24-25 มิ.ย. เนื่องจากความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกไร้เสถียรภาพ
มีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา คือ การที่สหรัฐฯ จะยังเดินหน้ากดดันให้ชาติพันธมิตรเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม สู่ระดับ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ
มาร์ก รุตเต้ เลขาธิการนาโต้ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ประเทศสมาชิกตกลงที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็น 5 % ของ GDP เนื่องจากภัยคุกคามจากรัสเซียที่เพิ่มมากขึ้น และย้ำว่าทรัมป์ยังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนพันธมิตร
ต่อไปนี้คือคำถามและคำตอบสำคัญเกี่ยวกับเป้าหมายใหม่นี้
คาดว่าจะเห็นพ้องกันว่าสมาชิก NATO ควรใช้จ่าย 5% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจ หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในด้านกลาโหมหลัก และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและความมั่นคงในวงกว้าง เป้าหมายใหม่นี้ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเป้าหมายเดิมที่ 2% ซึ่งได้รับการเห็นชอบในการประชุมสุดยอดของพันธมิตรที่เวลส์เมื่อปี 2014
สมาชิก NATO คาดว่าจะใช้จ่าย 3.5% ของ GDP สำหรับกลาโหมหลัก เช่น กำลังพลและอาวุธ ซึ่งเป็นรายการที่ครอบคลุมโดยเป้าหมายเดิม 2% และจะคาดว่าจะใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.5% ของ GDP สำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและความมั่นคงในวงกว้าง เช่น การปรับปรุงถนน สะพาน และท่าเรือให้สามารถใช้กับยานพาหนะทางทหาร รวมถึงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์และการปกป้องท่อส่งพลังงาน
ถือว่าใหญ่มากสำหรับหลายประเทศ ในปีที่แล้ว 22 ประเทศจาก 32 ประเทศสมาชิก NATO ใช้จ่าย 2% ของ GDP หรือมากกว่าสำหรับด้านกลาโหม โดยรวมแล้ว สมาชิกพันธมิตรใช้จ่ายด้านกลาโหมคิดเป็น 2.61% ของ GDP รวมของ NATO ตามการประมาณของ NATO แต่ตัวเลขนี้ปกปิดความแตกต่างด้านการใช้จ่ายระหว่างสมาชิกแต่ละประเทศ
เช่น โปแลนด์ใช้จ่ายมากกว่า 4% ของ GDP สำหรับกลาโหม ทำให้เป็นประเทศที่ใช้จ่ายมากที่สุด ในอีกด้านหนึ่ง สเปนใช้จ่ายน้อยกว่า 1.3%
ประเทศสมาชิก NATO คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายเมื่อใด
คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2035 เป้าหมายเหล่านี้อาจมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อมีการทบทวนในปี 2029
เม็ดเงินเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน
ยากที่จะระบุจำนวนเงินที่แน่นอนได้ว่าประเทศสมาชิก NATO จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ส่วนหนึ่งเพราะจะขึ้นอยู่กับขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอีกหลายปีข้างหน้า อีกทั้ง NATO ยังไม่ได้วัดการใช้จ่ายในหมวดใหม่ที่ครอบคลุมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงในวงกว้าง ดังนั้นจึงไม่มีฐานข้อมูลสำหรับเปรียบเทียบ
ประเทศสมาชิก NATO ใช้จ่ายมากกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในด้านกลาโหมหลักในปี 2024 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อ 10 ปีก่อน (คิดเป็นมูลค่าคงที่ปี 2021) หากประเทศสมาชิก NATO ทุกประเทศใช้จ่าย 3.5% ของ GDP ในปีที่แล้ว จะเท่ากับประมาณ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายใหม่อาจหมายถึงการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปีเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายในปัจจุบัน
ทำไมประเทศสมาชิก NATO ถึงเพิ่มการใช้จ่ายในตอนนี้
สงครามของรัสเซียในยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ ความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากรัสเซียในอนาคต และแรงกดดันจากสหรัฐฯ ทำให้หลายประเทศในยุโรปเพิ่มการลงทุนด้านกลาโหม และวางแผนที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
รัสเซียอาจพร้อมใช้กำลังทหารต่อ NATO ภายในห้าปี เลขาธิการ NATO กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ ยุโรปยังเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะตัดสินใจถอนทหารบางส่วนและศักยภาพทางการทหารออกจากยุโรป
พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า อเมริกาไม่สามารถอยู่ทุกที่ได้ตลอดเวลา และก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
เงินใหม่เหล่านี้จะถูกนำไปใช้อะไร
NATO เห็นชอบเป้าหมายขีดความสามารถใหม่สำหรับสมาชิกในเดือนนี้ ซึ่งรวมถึงประเภทของกำลังพล หน่วยทหาร อาวุธ และยุทโธปกรณ์ที่ NATO เห็นว่าควรมีเพื่อป้องกันตัวเองและพันธมิตร เป้าหมายเหล่านี้เป็นข้อมูลลับ แต่รุตเทอกล่าวหลังจากมีการเห็นชอบว่า พันธมิตรต้องลงทุนเพิ่มในหลายด้าน เช่น ระบบป้องกันภัยทางอากาศ เครื่องบินรบ รถถัง โดรน กำลังพล ระบบลอจิสติกส์ และอีกมากมาย”
ทุกประเทศเห็นด้วยหรือไม่
ยังไม่ทั้งหมด นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ของสเปน กล่าวว่า ประเทศของเขาสามารถบรรลุเป้าหมายด้านขีดความสามารถทางทหารได้ด้วยการใช้จ่ายเพียง 2.1% ของ GDP รัฐบาลของเขาเห็นชอบร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดที่มีเป้าหมายการใช้จ่ายใหม่นี้ แต่ระบุชัดเจนว่าไม่มีเจตนาจะใช้จ่ายมากขนาดนั้น
เจ้าหน้าที่ NATO กล่าวว่า สเปนไม่สามารถถอนตัวจากเป้าหมายได้ การใช้จ่ายของสเปนจะถูกติดตาม และหากไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายทางทหาร ก็จะต้องมีการปรับปรุง นักการทูตและนักวิเคราะห์คาดว่าบางประเทศที่ลงนามในเป้าหมายนี้ก็อาจไม่สามารถปฏิบัติตามได้เช่นกัน แต่ต่อสาธารณะ พวกเขายืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตาม
เงินจะมาจากไหน
แต่ละประเทศสมาชิก NATO จะตัดสินใจเองว่าจะหาเงินลงทุนด้านกลาโหมเพิ่มจากที่ใด และจะจัดสรรอย่างไร สหภาพยุโรปได้เคลื่อนไหวเพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับประเทศต่าง ๆ ในการใช้จ่ายด้านกลาโหม โดยอนุญาตให้สมาชิกเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมได้ปีละ 1.5% ของ GDP เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่ต้องเผชิญมาตรการลงโทษทางการคลังที่จะมีผลเมื่อขาดดุลงบประมาณเกิน 3% ของ GDP
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐมนตรีของสหภาพยุโรปยังเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนอาวุธมูลค่า 150,000 ล้านยูโร โดยใช้การกู้ยืมร่วมของสหภาพยุโรป เพื่อให้เงินกู้แก่ประเทศยุโรปสำหรับโครงการกลาโหมร่วมกัน ประเทศยุโรปบางประเทศกำลังผลักดันให้มีการกู้ยืมร่วมกันเพื่อใช้เป็นเงินให้เปล่า แทนที่จะเป็นเงินกู้ สำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหม แต่ก็เผชิญการต่อต้านจากประเทศที่เคร่งครัดทางการคลัง เช่น เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์
เป้าหมายของ NATO เปรียบเทียบกับการใช้จ่ายด้านกลาโหมของประเทศอื่นอย่างไร
พันธมิตร NATO ใช้สัดส่วนของผลผลิตทางเศรษฐกิจในด้านกลาโหมน้อยกว่ารัสเซียมาก แต่เมื่อรวมกันแล้ว ใช้เงินมากกว่ารัสเซียอย่างมีนัยสำคัญ การใช้จ่ายทางทหารของรัสเซียเพิ่มขึ้น 38% ในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 149,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 7.1% ของ GDP ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI)
จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้จ่ายด้านทหารมากเป็นอันดับสองของโลก ใช้จ่ายทางทหารประมาณ 1.7% ของ GDP ในปีที่แล้ว ตามการประเมินของ SIPRI
การใช้จ่ายด้านกลาโหมเปรียบเทียบกับการใช้จ่ายของรัฐบาลในด้านอื่นอย่างไร
ตามข้อมูลของ SIPRI ระบุว่า ในประเทศ NATO การใช้จ่ายด้านกลาโหมมักเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของงบประมาณของประเทศ โดยในปี 2023 การใช้จ่ายทางทหารคิดเป็น 3.2% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลในอิตาลี 3.6% ในฝรั่งเศส และ 8.5% ในโปแลนด์ ส่วนในรัสเซียในปีเดียวกัน การใช้จ่ายทางทหารคิดเป็นเกือบ 19% ของการใช้จ่ายของรัฐบาล