เทียบความเสียหาย สหรัฐฯ ถล่ม 3 จุดยุทธศาสตร์ฐานนิวเคลียร์อิหร่าน

23 มิ.ย. 2568 | 04:32 น.
อัปเดตล่าสุด :23 มิ.ย. 2568 | 04:32 น.

เทียบความเสียหาย สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ใส่ฐานนิวเคลียร์อิหร่าน ใช้ระเบิด 30,000 ปอนด์ถล่ม 3 จุดยุทธศาสตร์ เกิดปล่องขนาดใหญ่ ชี้อาจทำลายโรงเก็บยูเรเนียมเข้มข้นได้

หลังจากเคยเลือกใช้แนวทางทางการทูตเป็นลำดับแรก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยสั่งโจมตีเป้าหมายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3 แห่ง ได้แก่ ฟอร์โดว์ (Fordow), นาทานซ์ (Natanz) และอิสฟาฮาน (Isfahan) อย่างรุนแรง ใช้ทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-2, ขีปนาวุธครูซจากเรือดำน้ำ และระเบิดทะลวงบังเกอร์หนักถึง 30,000 ปอนด์ในการปฏิบัติการครั้งนี้

แม้ทรัมป์จะออกมาประกาศว่า “โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกทำลายจนหมดสิ้น” แต่เจ้าหน้าที่อิหร่านหลายคนกลับพยายามลดทอนความรุนแรงของเหตุการณ์ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นหลังการโจมตีของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดที่เริ่มเปิดเผยออกมา กลับบอกเล่าเรื่องราวอีกด้านหนึ่ง

ที่ฟอร์โดว์ ซึ่งถือเป็นศูนย์เสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ที่สำคัญที่สุดของอิหร่าน ถูกออกแบบให้ฝังลึกเข้าไปในภูเขาราว 80-90 เมตร เพื่อให้รอดพ้นจากการโจมตีทางอากาศ แต่สหรัฐฯ ใช้เครื่องบิน B-2 จำนวน 6 ลำ ทิ้งระเบิด GBU-57 ทะลวงบังเกอร์รวม 12 ลูกลงบนเป้าหมาย CNN วิเคราะห์จากภาพดาวเทียมของบริษัท Maxar พบปล่องขนาดใหญ่ 6 จุดในบริเวณดังกล่าว โดยมีลักษณะคล้ายถูกโจมตีอย่างแม่นยำซ้ำๆ ที่จุดเดิม ซึ่งเป็นเทคนิคที่จำเป็นต้องใช้หากต้องการเจาะทะลุไปถึงโถงใต้ดินขนาดใหญ่ด้านล่าง

ภาพรวมแสดงภาพถ่ายดาวเทียมเหนือบริเวณโรงงานใต้ดินฟอร์โดว์ก่อนและหลังที่สหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดิน (เครดิตภาพ Reuters)

ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ยืนยันว่ามี “ผลกระทบทางกายภาพโดยตรง” ต่อ Fordow แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินความเสียหายภายใน ขณะที่ เดวิด อัลไบรต์ อดีตผู้ตรวจสอบด้านนิวเคลียร์ ปัจจุบันเป็นประธานของสถาบันเพื่อวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ (Institute for Science and International Security) ระบุว่า ความเสียหายอาจลุกลามถึงโถงเสริมสมรรถนะใต้ดิน และอาจถึงขั้น “ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง” อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่าต้องใช้เวลาสักระยะในการประเมินผลที่ชัดเจน

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธจากบริษัท ARES ระบุว่าลักษณะของปล่องกลางบางจุดมีรูปทรงไม่สม่ำเสมอ บ่งชี้ว่าถูกระเบิดหลายลูกซ้อนกันลงอย่างแม่นยำ ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ที่ใช้ในการเจาะทะลุสิ่งก่อสร้างลึกใต้ดิน ดาวเทียมยังจับภาพการเปลี่ยนสีของภูเขาบริเวณเหนือฟอร์โดว์เป็นชั้นเถ้าถ่านสีเทา และพบดินถูกถมปากอุโมงค์บางจุดก่อนการโจมตี ซึ่งอาจเป็นความพยายามของอิหร่านในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างใต้ดินก่อนถูกโจมตี

แม้นักการเมืองอิหร่านบางราย เช่น มานาน เรอีซี ส.ส.เมืองโกม ใกล้ฟอร์โดว์จะกล่าวว่าความเสียหายเป็นเพียง “ผิวเผิน” แต่ เดวิด อัลไบรต์ เตือนว่า ข้อมูลจากทางการอิหร่านในช่วงแรก “ไม่ควรเชื่อถือ” โดยอ้างประสบการณ์ในอดีตที่ภาพดาวเทียมมักเปิดเผยข้อมูลความเสียหายที่รุนแรงกว่าคำแถลงของอิหร่านมาก

ขณะที่นาทานซ์ ซึ่งเป็นศูนย์เสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ใหญ่ที่สุดของอิหร่าน และเคยถูกอิสราเอลโจมตีมาก่อนหน้านี้ ก็ถูกสหรัฐฯ โจมตีซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ด้วยระเบิดทะลวงบังเกอร์ 2 ลูกจาก B-2 และขีปนาวุธ TLAM อีก 30 ลูกจากเรือดำน้ำสหรัฐฯ CNN วิเคราะห์ภาพดาวเทียมพบปล่องใหม่ 2 จุด บนพื้นที่ตรงกับตำแหน่งโถงใต้ดิน โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 5.5 เมตร และ 3.2 เมตร ตามลำดับ แม้ยังไม่สามารถยืนยันผลกระทบต่อโถงที่ติดตั้งเครื่องหมุนเหวี่ยงยูเรเนียมได้แน่ชัด แต่หากระบบไฟฟ้าใต้ดินได้รับความเสียหายอย่างที่ IAEA เคยรายงานไว้ในครั้งก่อน ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องจักรอย่างมีนัยสำคัญ

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงภาพรวมของนาทานซ์ หลังจากถูกโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ ใกล้เมืองนาทานซ์ ประเทศอิหร่าน (เครดิตภาพ Reuters)

ส่วนที่อิสฟาฮาน ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ตั้งอยู่กลางประเทศ และมีนักวิทยาศาสตร์ราว 3,000 คนทำงานอยู่ ก็ถูกโจมตีเช่นกัน CNN วิเคราะห์ภาพดาวเทียมพบอาคารเสียหายหรือถูกทำลายไม่น้อยกว่า 18 หลัง พื้นที่รอบไซต์มีร่องรอยสีดำจากเศษซากถล่ม ด้านอัลไบรต์ระบุว่าอาจมีการโจมตีอุโมงค์เก็บยูเรเนียมเข้มข้นใกล้กับศูนย์ดังกล่าวด้วย ซึ่งหากเป็นความจริง ก็สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะทำลายยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 20% และ 60% ของอิหร่านก่อนที่มันจะถูกแปรสภาพไปเป็นยูเรเนียมเกรดอาวุธ (90%)

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงมุมมองระยะใกล้ของอาคารที่ถูกทำลายในศูนย์เทคโนโลยีนิวเคลียร์อิสฟาฮาน หลังจากถูกโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐฯ ในอิสฟาฮาน ประเทศอิหร่าน (เครดิตภาพ Reuters)

ที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พลเอกแดน เคน ประธานเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ แถลงยืนยันว่า เรือดำน้ำของสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธโจมตีพื้นดินแบบ Tomahawk มากกว่า 12 ลูกใส่โครงสร้างพื้นผิวหลักของไซต์ที่อิสฟาฮาน แสดงให้เห็นถึงการประสานกำลังรบในหลายมิติและความมุ่งมั่นในการตัดวงจรพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างเด็ดขาด

แม้ผลลัพธ์สุดท้ายยังต้องรอการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม แต่ปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณชัดเจนต่ออิหร่าน และจุดกระแสความตึงเครียดในตะวันออกกลางให้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอนาคตของโครงการนิวเคลียร์อิหร่านและสมดุลอำนาจในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด