ขณะที่สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านทวีความรุนแรงมากขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้นทำให้ประเทศไทยซึ่งต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศกว่า 80% ของความต้องการใช้ในประเทศได้รับผลกระทบโดยตรง
ต่อประเด็นดังกล่าว นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เจ้าของฉายา "มิสเตอร์เอทานอล"ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์เฟซบุ๊ก (17 มิ.ย. 68) เรื่อง
“จากสงครามอิสราเอล-อิหร่านสู่วิกฤตน้ำมัน : เอทานอล-ไบโอดีเซลคือโอกาสในวิกฤติของไทย”
โดยข้อความระบุการเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน และทวีความรุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการผลิตและการขนส่งของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวจากภูมิภาคตะวันออกกลางและอ่าวเปอร์เซียทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันและแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดในโลกของอิหร่าน-กาตาร์
ยิ่งกว่านั้น สถานการณ์จะเลวร้ายมากขึ้น หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดเพราะปริมาณน้ำมันราว 1 ใน 5 ของโลกหรือ 18-19 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องผ่านช่องแคบนี้คาดว่าราคาของน้ำมันดิบจะพุ่งสูงเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกัน ราคา LNG อาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 35% จากระดับปัจจุบัน และอัตราค่าขนส่งน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันจะได้รับผลกระทบอย่างมาก ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
ในขณะที่ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศกว่า 80% เฉลี่ยอยู่ที่ 1,024,096 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ากว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมีการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลล์เฉลี่ยอยู่ที่ 31.65 ล้านลิตรต่อวันใช้น้ำมันดีเซล 68.76 ล้านลิตรต่อวันย่อมได้รับผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจทั้งในแง่ของต้นทุนการผลิต การขนส่งและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น
ทั้งนี้เป็นที่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ(Biofuel)เช่น เอทานอลและไบโอดีเซลมากว่า 20 ปี ตามพระวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ภายใต้แนวทางยุทธศาสตร์การยืนบนขาตัวเองเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543 จนเข้มแข็งอยู่ในระะดับท็อปเทนของโลกมีกำลังการผลิตทดแทนการนำเข้าน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 10%
แต่ขณะนี้กำลังจะล่มสลายจากนโยบายภาครัฐที่ปรับลดสัดส่วนการใช้เอทานอลและไบโอดีเซลในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา
การที่ประเทศไทยมีการส่งเสริมการใช้เอทานอล(Ethanol), เอทานอลGen2 ,น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับเครื่องบิน (SAF: Sustainable Aviation Fuel) และไบโอดีเซล(Biodiesel)ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อปัญหาราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานช่วยลดคาร์บอนและเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตรในภูมิภาคและต่อยอดด้วยอุตสาหกรรมไบโอรีไฟนารี่(Biorefinery) ครบวงจรทำให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดไป
ดังนั้นยังไม่สายเกินไปที่รัฐบาลจะทบททวนนโยบายเสียใหม่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสกลับมาสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอล E20 และไบโอดีเซล B10 เป็นพลังงานทางเลือกและน้ำมันเชื้อเพลิงพื้นฐานทดแทนการนำเข้าและลดผลกระทบจากวิกฤตน้ำมันครั้งนี้และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต