"ปณิธาน" ชี้ “อเมริกาต้องมาก่อน” โลกจะหันหลังให้หรือต้องปรับตัวตาม?

18 มิ.ย. 2568 | 09:00 น.

ทรัมป์กลับมาพร้อมนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ผลักดันกำแพงภาษีและลดพันธมิตรทั่วโลก เป็นไปได้ไหมที่สหรัฐจะไม่มีเพื่อน? วิเคราะห์ลึกกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร กับความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีใครนิ่งเฉยได้

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในเวทีการเมืองระดับโลก พร้อมนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างเข้มข้น ทำให้เกิดคำถามสำคัญที่สะท้อนทั้งความกังวลและความท้าทายของระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า “เป็นไปได้ไหมที่ในอนาคต สหรัฐฯ จะไม่มีพันธมิตร?”

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจ โดยได้อธิบายภาพที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ทรัมป์กำลังทำนั้น “ไม่ใช่เรื่องใหม่” หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ถูกนำกลับมาใช้เพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็งของประเทศในยามที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะหลังจากการปลดแอกจากอังกฤษ สงครามกลางเมือง หรือสงครามโลก แต่ความต่างในยุคทรัมป์คือ “ความรวดเร็ว รุนแรง และอยู่บนพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทุกมิติ”

สิ่งที่น่าจับตามองคือ การสร้าง “กำแพง” ไม่ใช่แค่เชิงสัญลักษณ์หรือภูมิศาสตร์อย่างกับเม็กซิโก แต่เป็นกำแพงทางเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายภาษีนำเข้า การถอนตัวจากความร่วมมือต่างประเทศ การบีบให้พันธมิตรลงทุนมากขึ้น และการจัดลำดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะความพยายามลดการพึ่งพาจีน และเปิดเกมใหม่กับรัสเซีย อินเดีย หรือประเทศนอกเหนือจากพันธมิตรเดิมในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

 

การปกป้องตัวเองแบบนี้ จะกลายเป็น “การโดดเดี่ยวตัวเอง” หรือไม่?

ดร.ปณิธานชี้ว่า นี่คือนโยบายแบบ “สองด้าน” ที่ทั้งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และพร้อมจะเผชิญหน้ากับประเทศที่ได้เปรียบเกินไปในสายตาทรัมป์ เช่น จีน และบางประเทศในอาเซียน แม้จะไม่ลงมือเผชิญหน้าโดยตรง แต่การขึ้นทะเบียนบุคคล การกดดันทางการค้า ล้วนสะท้อน “แนวคิดใหม่ในการจัดระเบียบโลก” ที่ไม่ไว้หน้าพันธมิตรเก่า และพร้อมสร้างพันธมิตรใหม่ตามจังหวะผลประโยชน์

หลายประเทศแม้รู้สึก “ถูกกดดัน” หรือ “ถูกบูลลี่” แต่กลับไม่สามารถหันหลังให้สหรัฐฯ ได้ เช่น แคนาดา แม้มีรอยร้าวเชิงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำ แต่ก็ยังต้อง “กลืนเลือด” เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะระบบป้องกันของ NATO ที่ยังพึ่งพาสหรัฐฯ อยู่มาก

ความน่าสนใจอีกประการคือ สหรัฐฯ ยุคทรัมป์แม้จะส่งสัญญาณ “แข็งกร้าว” ต่อบางประเทศ แต่ก็กลับ “อ่อนข้อ” อย่างไม่น่าเชื่อในบางกรณี เช่น การผ่อนคลายข้อจำกัดแร่หายากกับจีน การเจรจาเรื่องภาษีที่อาจลดลงอย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่ง “ปรองดอง” กับรัสเซียในบางช่วง ทั้งหมดนี้เกิดจากบุคลิกเฉพาะของทรัมป์ที่เน้น “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” กับผู้นำประเทศต่างๆ มากกว่านโยบายที่ชัดเจนถาวร

 

สหรัฐจะไม่มีเพื่อน?

เมื่อมองในระดับโลก คำถามเรื่อง “สหรัฐจะไม่มีเพื่อนหรือพันธมิตร?” อาจไม่ใช่คำถามที่ตอบได้เพียงคำเดียว เพราะแม้หลายประเทศจะอึดอัด แต่ก็ยังต้องร่วมโต๊ะกับวอชิงตันอยู่ดี เพียงแต่อาจไม่ใช่ในฐานะ “เพื่อน” ที่ไว้ใจกันอย่างในอดีต หากแต่เป็น “คู่เจรจา” ที่ต้องเล่นเกมให้เป็น เพื่ออยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน

 

ในมุมของไทย บทเรียนจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้เราเห็นจุดอ่อนของตัวเองชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องความพร้อมในการเจรจา ความคล่องตัวเชิงนโยบาย และการเข้าถึงระดับผู้นำของสหรัฐฯ ได้อย่างแท้จริง รศ.ดร.ปณิธานเตือนว่า “ความนุ่มนวลแบบรำไทย” แม้จะมีชั้นเชิง แต่หากนานเกินไป ก็อาจตกขบวนได้ในเวทีระหว่างประเทศที่ต้องการการตอบสนองฉับไว

ดังนั้น ประเทศเล็กอย่างไทยต้องเร่งปรับตัว ทั้งในเชิงกลไกภายใน ความพร้อมของทีมเจรจา และการวางกลยุทธ์ที่ผสมผสานทั้งความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมกับสหรัฐฯ และการรักษาสมดุลกับจีนในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะประสบความสำเร็จในการผลักดัน “อเมริกาต้องมาก่อน” ในยุคนี้หรือไม่ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ โลกจะไม่เหมือนเดิม และทุกประเทศต้องตอบคำถามให้ตัวเองว่า จะ “อยู่ร่วม” กับสหรัฐฯ อย่างไร ในวันที่มหาอำนาจอาจไม่ต้องการเพื่อน แต่โลกกลับไม่อาจอยู่ได้หากไม่มีพันธมิตร