ศาลโลกคืออะไร? เกี่ยวอะไรกับปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา?

17 มิ.ย. 2568 | 07:39 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มิ.ย. 2568 | 07:39 น.

รู้จัก “ศาลโลก” คืออะไร มีอำนาจแค่ไหน กัมพูชายื่นศาลโลกฟ้องไทย ปมพื้นที่ทับซ้อน จุดไฟความขัดแย้งชายแดนอีกครั้ง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง เมื่อกัมพูชามีท่าทีเคลื่อนไหวทางกฎหมายในระดับนานาชาติ ด้วยการยื่นเรื่องต่อ "ศาลโลก" หรือชื่อเต็มว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการหลักขององค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาเกี่ยวกับพื้นที่ปราสาทพระวิหารซึ่งเคยมีคำตัดสินไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2505

ก่อนจะลงลึกถึงข้อพิพาทระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ศัพท์คำว่า "ศาลโลก" ซึ่งถูกพูดถึงบ่อยครั้งในข่าวระหว่างประเทศ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วศาลนี้มีอำนาจหน้าที่อย่างไร ใครมีสิทธิยื่นฟ้อง และคำตัดสินของศาลนี้มีผลทางกฎหมายจริงหรือไม่ บทความนี้จะพาไปรู้จักศาลโลกให้ชัดเจน พร้อมคลี่คลายความเข้าใจว่าทำไมกัมพูชาจึงใช้ช่องทางนี้ในการสู้คดีกับไทย

ศาลโลก หรือ ICJ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) พร้อมกับการก่อตั้งสหประชาชาติ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นองค์กรตุลาการหลักของ UN ที่ทำหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างรัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน พรมแดน สนธิสัญญา และการใช้สิทธิต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งแตกต่างจาก "ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)" ที่พิจารณาคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติซึ่งฟ้องร้องตัวบุคคล

องค์ประกอบของศาลโลกประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คนจากประเทศต่างๆ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง มีวาระดำรงตำแหน่ง 9 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นกลาง ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศใดประเทศหนึ่ง การพิจารณาของศาลโลกมีลักษณะเป็นกระบวนการยุติธรรมสาธารณะ คู่กรณีสามารถแต่งตั้งทนายฝ่ายตนมาโต้แย้งและชี้แจงได้ตามกระบวนการ และคำตัดสินของศาลมีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หากประเทศที่แพ้คดีไม่ยินยอมปฏิบัติตาม อาจถูกนำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงเพื่อหาทางบังคับใช้คำตัดสิน

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกเคยมีคำพิพากษาให้ "กัมพูชาเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร" โดยอ้างอิงแผนที่ฉบับหนึ่งที่ฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นหลักฐาน ซึ่งในเวลานั้นไทยได้คัดค้านมาโดยตลอด แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับคำตัดสิน อย่างไรก็ตาม พื้นที่โดยรอบปราสาทซึ่งรวมถึงทางขึ้นปราสาทจากฝั่งไทย ไม่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในคำพิพากษาครั้งนั้น ทำให้เกิดข้อพิพาทต่อเนื่องมายาวนานระหว่างสองประเทศ และมีความตึงเครียดหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปี 2551-2554 ที่มีการวางกำลังทหารและการปะทะกันหลายครั้ง

กระทั่งในปี พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกอีกครั้ง เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมในปี 2505 ว่าครอบคลุมพื้นที่โดยรอบปราสาทหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่าไทยยังคงมีการปักหลักและอ้างสิทธิในพื้นที่ที่ควรเป็นของกัมพูชา ศาลโลกจึงรับเรื่องไว้พิจารณา และในปี พ.ศ. 2556 ศาลมีคำวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า พื้นที่ใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหาร รวมถึงทางขึ้นปราสาทจากฝั่งไทยนั้น ถือเป็นพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และเรียกร้องให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ดังกล่าว

แม้คำตัดสินจะไม่ใช่การ "บังคับย้ายพรมแดน" อย่างทันทีทันใด แต่ก็สะท้อนจุดยืนของประชาคมระหว่างประเทศและสร้างผลทางกฎหมายที่ชัดเจน การที่กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลกซ้ำอีกในช่วงหลัง เป็นการตอกย้ำว่า กัมพูชาต้องการใช้กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศในการยืนยันสิทธิและเรียกร้องการบังคับใช้คำตัดสินให้เป็นรูปธรรม โดยมองว่าช่องทางศาลโลกเป็นเวทีที่นานาประเทศให้ความเชื่อถือ และใช้เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทอย่างสันติ

สำหรับประเทศไทย แม้จะยืนยันสิทธิในพื้นที่บางส่วนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อกระบวนการของศาลโลกได้ เพราะทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคีของศาลดังกล่าว การรักษาสัมพันธภาพระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงควบคู่ไปกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติ

ในยุคที่โลกหันมาใช้ "กฎหมายระหว่างประเทศ" แทนการใช้อาวุธเพื่อแก้ปัญหา ศาลโลกจึงเป็นเวทีสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างรัฐ และเป็นตัวอย่างที่ดีของกระบวนการยุติธรรมระดับโลกที่ควรถูกทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในบริบทที่มีผลกระทบต่ออธิปไตย พรมแดน และความมั่นคงของชาติ

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ติดตามข่าวสารการเมืองระหว่างประเทศ การเข้าใจบทบาทของศาลโลกไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว แต่คือพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการตัดสินใจของรัฐต่างๆ ที่ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับเขตแดนทางภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภาพลักษณ์ในเวทีโลกอย่างมีนัยสำคัญ