ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาประกาศผ่านโซเชียลมีเดียเฟซบุ๊กเขู่ว่าจะยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในประเด็นพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 หากไทยปฏิเสธความร่วมมือ
ต้องยอมรับว่า การเลือกวันที่ 15 มิถุนายนเป็นกำหนดส่งหนังสือเป็นทางการไปยัง ICJ นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
วันที่ 15 มิถุนายน คือวันที่กัมพูชาต้องการให้โลกจดจำ และที่สำคัญคือต้องการให้ไทยระลึกถึงความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์เมื่อ 63 ปีที่แล้ว
วันที่ 15 มิถุนายน 1962 หรือ พ.ศ. 2505 เป็นวันที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาชนะไทยอย่างขาดลอยในคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ภายหลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศเกือบ 3 ปี
คดีที่เริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1959 เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องขอให้ศาลโลกวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารเป็นของใคร และขอให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณดังกล่าว กลายเป็นบทพิสูจน์ความสามารถทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชาที่สามารถเอาชนะไทยได้อย่างสิ้นเชิง
การชนะคดีครั้งนั้นไม่เพียงทำให้กัมพูชาได้ปราสาทพระวิหารกลับคืนมา แต่ยังได้สิทธิ์ในการเรียกร้องให้ไทยส่งคืนโบราณวัตถุต่างๆ ที่ถูกโยกย้ายไปด้วย รวมถึงการบังคับให้ไทยต้องถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากบริเวณปราสาทและพื้นที่ใกล้เคียง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการประกาศของฮุน เซน และ ฮุน มาเนตในช่วงเวลานี้และการเลือกวันที่ 15 มิถุนายนโดยเฉพาะ สะท้อนถึงกลยุทธ์การเจรจาที่ซับซ้อน โดยกัมพูชาต้องการส่งสัญญาณหลายระดับ
เมื่อมองย้อนกลับไปในคดีปราสาทพระวิหาร แม้ว่าไทยจะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา แต่ในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ไทยก็ต้องยอมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกตามกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 94
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้จะมีผู้พิพากษา 3 คนออกความเห็นแย้งที่เห็นว่าปราสาทพระวิหารควรเป็นของไทย โดยอ้างเหตุผลทั้งทางเทคนิคและหลักกฎหมาย แต่ความเห็นแย้งเหล่านี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย มีประโยชน์เพียงในเชิงการโต้แย้งทางวิชาการเท่านั้น
ผู้พิพากษา Moreno Quintana เชื่อว่าการปักปันเขตแดนตามแผนที่อาจมีข้อผิดพลาด และไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าไทยรับรองโดยปริยาย ขณะที่ผู้พิพากษา Wellington Koo เห็นว่าหลักกฎหมาย "ใครที่นิ่งเฉยถือว่ายินยอม" ไม่สามารถนำมาใช้ในคดีนี้ได้ และผู้พิพากษา Sir Percy Spender เน้นว่าเขตแดนต้องเป็นไปตามแนวสันปันน้ำตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904
อย่างไรก็ตาม ความเห็นเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาได้ และกัมพูชาก็ยังคงใช้ชัยชนะครั้งนี้เป็นจุดอ้างอิงในการเจรจาทางการทูตจนถึงปัจจุบัน
สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารไม่ได้พิพากษาชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองโดยรวม โดยเฉพาะไม่ได้ตัดสินว่าเขตแดนจะต้องเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชานำมาอ้างอิง
ข้อจำกัดนี้อาจเป็นช่องทางให้ไทยใช้ในการเจรจา หากสามารถแยกแยะประเด็นข้อพิพาทปัจจุบันออกจากคดีปราสาทพระวิหารได้ และสร้างกรอบการเจรจาใหม่ที่ไม่ถูกครอบงำด้วยเงาแห่งอดีต
การใช้วันที่ 15 มิถุนายนของกัมพูชาแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการทูตร่วมสมัย
สำหรับไทย การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตและการเตรียมพร้อมทั้งทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับความท้าทายครั้งนี้
วันที่ 15 มิถุนายน จึงไม่ใช่เพียงวันที่ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่กัมพูชาใช้เพื่อกำหนดกรอบการเจรจาให้เป็นไปในทิศทางที่ตนต้องการ และเป็นการท้าทายให้ไทยต้องคิดหาทางออกใหม่ๆ ที่จะไม่ตกอยู่ในกับดักแห่งอดีตอีกครั้ง