ตะวันออกกลางเดือด อิหร่านเปิดฉากสวนกลับ ยิงโดรน 100 ลำถล่มอิสราเอล

13 มิ.ย. 2568 | 08:16 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 08:19 น.

อิหร่านยิงโดรนถล่มอิสราเอลกว่า 100 ลำ หลังอิสราเอลเปิดฉาก "Operation Rising Lion" โจมตีแหล่งนิวเคลียร์และแกนนำกองกำลังอิหร่าน จุดชนวนความตึงเครียดระดับภูมิภาค

ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระอุถึงจุดเดือดอีกครั้งในเช้าวันศุกร์ อิหร่านเปิดฉากยิงโดรนกว่า 100 ลำเข้าสู่อิสราเอล เพื่อตอบโต้การโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่อิสราเอลเพิ่งดำเนินการกับเป้าหมายสำคัญของอิหร่าน ทั้งแหล่งพัฒนานิวเคลียร์ ผู้บัญชาการทหารระดับสูง และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ภายใต้ปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “Operation Rising Lion” ซึ่งประกาศโดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล โดยระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “ย้อนรอยและลดภัยคุกคามจากอิหร่านที่อาจทำลายล้างการมีอยู่ของอิสราเอล”

ในแถลงการณ์ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ พลตรีเอฟฟี่ เดฟริน โฆษกกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ยืนยันว่า โดรนจากอิหร่านมากกว่า 100 ลำได้ถูกปล่อยออกมาในช่วงเช้าของวันศุกร์ โดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลได้เริ่มสกัดกั้นตั้งแต่ก่อนที่โดรนจะเข้าสู่น่านฟ้าอิสราเอล ทั้งยังมีรายงานการเปิดสัญญาณเตือนภัยทางอากาศในหลายพื้นที่ของภูมิภาค รวมถึงการสกัดโดรนบางส่วนในซาอุดีอาระเบียและจอร์แดน ขณะที่สื่ออิสราเอลระบุว่า โดรนชุดแรกน่าจะเข้าถึงน่านฟ้าของประเทศในช่วงเที่ยงตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 4 โมงเช้าตามเวลาในสหรัฐฯ

อิสราเอลระบุว่าการโจมตีของตนเองต่ออิหร่านเป็น “การโจมตีเชิงป้องกันล่วงหน้า” โดยอ้างข้อมูลข่าวกรองที่เปิดเผยว่าอิหร่านมีแผนสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เพิ่มคลังขีปนาวุธ และให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่กลุ่มตัวแทนในตะวันออกกลางเพื่อโจมตีอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง พลตรีเดฟรินกล่าวว่า “แผนทำลายอิสราเอลของอิหร่านได้เป็นรูปเป็นร่างแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการทางทหารที่ใหญ่ที่สุด โดยส่งเครื่องบินรบกว่า 200 ลำขึ้นปฏิบัติการทางอากาศ ทิ้งอาวุธหลากหลายชนิดกว่า 330 รายการ โจมตีเป้าหมายมากกว่า 100 แห่งในอิหร่าน โดยมีรายงานจากสื่อของรัฐอิหร่านว่าเมืองหลวงเตหะราน เมืองนาทานซ์ ศูนย์กลางโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของประเทศ และเมืองอื่นๆ ถูกโจมตี และมีรายงานว่าผู้นำกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) นายพลโฮเซน ซาลามี เสียชีวิตพร้อมกับบุคคลสำคัญระดับสูงอีกหลายคน

อย่างไรก็ดี สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) รายงานผ่านโซเชียลมีเดียว่า สถานที่เก็บยูเรเนียมที่มีการควบคุมเข้มงวดอย่าง "ฟอร์โด" (Fordo) ไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตี ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บุชเชอร์ (Bushehr Nuclear Power Plant) ก็ไม่ได้ถูกโจมตีเช่นกัน และยังไม่มีการตรวจพบระดับรังสีที่เพิ่มขึ้นที่ไซต์งานในเมืองนาทานซ์

ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี แถลงตอบโต้ทันทีว่า อิสราเอล “ต้องเผชิญกับการตอบสนองที่รุนแรง” และอิหร่านก็ไม่รอช้าในการปฏิบัติการโต้กลับในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล

ในอีกด้านหนึ่ง สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอล ได้ส่งสัญญาณเตือนผ่านรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ว่า “อิหร่านไม่ควรโจมตีผลประโยชน์หรือบุคลากรของสหรัฐฯ” ขณะเดียวกัน สถานทูตสหรัฐฯ ในอิสราเอลสั่งให้เจ้าหน้าที่หลบภัยทันทีหลังเกิดเหตุ ส่วนก่อนหน้านี้ รัฐบาลทรัมป์ได้มีคำสั่งให้อพยพเจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นออกจากอิรัก และอนุญาตให้ครอบครัวทหารอเมริกันในตะวันออกกลางเดินทางออกจากภูมิภาคได้โดยสมัครใจ

ผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ยังลุกลามถึงภาคการบินระหว่างประเทศ โดยสนามบินดูไบ (Dubai International Airport) และสนามบินอัล มักตูม (Al Maktoum International Airport) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศยกเลิกและเลื่อนเที่ยวบินหลายเที่ยว เนื่องจากน่านฟ้าเหนืออิหร่าน อิรัก และซีเรียถูกปิดชั่วคราว พร้อมทั้งแจ้งให้นักเดินทางตรวจสอบกับสายการบินก่อนออกเดินทาง

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการโจมตีและตอบโต้ครั้งนี้จะนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบหรือไม่ แต่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลซึ่งดำเนินมาอย่างยาวนานได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยก่อนหน้านี้ อิสราเอลเคยโจมตีกลุ่มพันธมิตรของอิหร่านหลายครั้ง ขณะที่อิหร่านก็ให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธฮามาสซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอลเช่นกัน

เมื่อเดือนเมษายนปีก่อน อิหร่านเคยยิงขีปนาวุธและโดรนเข้าใส่อิสราเอลหลังเกิดเหตุโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในดามัสกัสที่เชื่อว่าเป็นฝีมืออิสราเอล และอีก 6 เดือนถัดมา ก็มีการโต้กลับกันระหว่างทั้งสองฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ โดยรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามผลักดันการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับอิหร่าน ซึ่งอิสราเอลแสดงความไม่ไว้วางใจต่อแนวทางนี้มาโดยตลอด โดยตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านยังคงมีกำหนดในวันอาทิตย์นี้ แม้จะยังไม่มีคำยืนยันจากทางการอิหร่านก็ตามว่าพร้อมร่วมวงเจรจาหลังเหตุการณ์ความไม่สงบล่าสุดนี้หรือไม่