บทสรุปดีลใหม่ “สหรัฐฯ-จีน” เปิดทางแร่หายาก-นศ.จีนคืนรั้วมะกัน

12 มิ.ย. 2568 | 04:40 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มิ.ย. 2568 | 04:43 น.

ข้อตกลงใหม่ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ฟื้นสัมพันธ์การค้า หลังเจรจามาราธอนที่ลอนดอน ล็อกเพดานภาษี ปลดล็อกแร่หายากจากจีน พร้อมเปิดทางให้นักเรียนจีนกลับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอเมริกันอีกครั้ง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศชัดว่า สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นการรื้อฟื้นการพักรบในสงครามการค้าที่เปราะบางอย่างยิ่งระหว่างสองมหาอำนาจ หลังจากที่ผู้แทนเจรจาของทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบต่อกรอบความตกลงว่าด้วยการปรับระดับภาษีนำเข้า ส่งผลให้ดีลการค้าที่เคยสะดุดกลับมาอยู่ในเส้นทางอีกครั้ง

ทรัมป์เปิดเผยผ่าน Truth Social ว่า “ดีลของเรากับจีนเสร็จสิ้นแล้ว รอเพียงการเห็นชอบสุดท้ายระหว่างผมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” โดยหนึ่งในสาระสำคัญของข้อตกลงคือ จีนจะต้องจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็น เช่น แม่เหล็กถาวรและแร่หายากให้กับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็จะอนุญาตให้นักเรียนจีนสามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอเมริกันได้เช่นเดิม ซึ่งทรัมป์ระบุว่า “ผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้เลย”

ดีลใหม่นี้เกิดขึ้นหลังการเจรจาแบบเร่งด่วนในกรุงลอนดอน นำโดยเจ้าหน้าที่การค้าชั้นนำของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งตามคำกล่าวของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการ “ใส่เนื้อหนังลงบนโครงกระดูก” ของข้อตกลงเบื้องต้นที่เคยลงนามกันไว้ในกรุงเจนีวาเมื่อเดือนก่อน หลังจากที่ดีลนั้นเกือบจะล่ม เนื่องจากจีนยังคงควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างเข้มงวด และสหรัฐฯ เองก็ตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญอย่างซอฟต์แวร์ออกแบบเซมิคอนดักเตอร์และเครื่องยนต์เครื่องบินให้กับจีน

ลัทนิคระบุว่า ข้อตกลงล่าสุดในลอนดอนจะทำให้จีนยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กถาวร ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็จะผ่อนคลายบางมาตรการควบคุมการส่งออกในลักษณะที่ “สมดุล” อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม และย้ำว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องนำกรอบข้อตกลงนี้กลับไปเสนอให้ผู้นำสูงสุดของตนให้การอนุมัติก่อนที่จะเริ่มดำเนินการจริง

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทรัมป์ระบุคือ สหรัฐฯ จะยังคงเรียกเก็บภาษีรวม 55% กับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งประกอบด้วย 10% ฐานภาษีแบบ “ตอบโต้เท่าเทียม” ที่ทรัมป์บังคับใช้กับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่, 20% จากมาตรการลงโทษจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งทรัมป์กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิล และอีก 25% คืออัตราภาษีที่ใช้มาตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก

ลัทนิคยืนยันว่า อัตราภาษี 55% นี้ “ถูกล็อกไว้แล้ว” และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการดำเนินการในทางปฏิบัติก็ตาม

ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนต์ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้รวมถึงการผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูงจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการเข้าถึงแร่หายากจากจีน โดยเขาย้ำว่า “ไม่มีการแลกเปลี่ยนชิปกับแร่แต่อย่างใด”

แม้ว่าข้อตกลงนี้จะช่วยประคองข้อตกลงเจนีวาไม่ให้ล่มลงจากข้อพิพาทด้านการควบคุมการส่งออก แต่ก็ยังไม่ได้แก้ไขความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีแบบฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และข้อกังวลของวอชิงตันต่อโมเดลเศรษฐกิจที่รัฐเป็นผู้นำของจีน

ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดโลก กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การขนส่งทางเรือ และสร้างภาระต้นทุนต่อภาคธุรกิจในระดับสูง โดยธนาคารโลกเพิ่งปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ลงเหลือ 2.3% โดยให้เหตุผลว่าอัตราภาษีที่สูงและความไม่แน่นอนคือ “แรงต้านที่มีนัยสำคัญ” ต่อเศรษฐกิจทุกภูมิภาค

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังข่าวประกาศข้อตกลง แต่โดยรวมได้ฟื้นตัวจากการร่วงแรงเมื่อต้นปี จากความผันผวนของนโยบายภาษีที่ทรัมป์ประกาศเป็นระยะ โดยนักวิเคราะห์มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะตอบรับดีลนี้ในเชิงบวก เพราะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน

“ทรัมป์บอกว่าดีลเสร็จแล้ว แต่เรายังไม่เห็นรายละเอียดใดๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตลาดยังไม่ตอบสนอง เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่รายละเอียด” โอลิเวอร์ เพอร์เช ที่ปรึกษาอาวุโสจาก Wealthspire Advisors กล่าว

ด้านจอช ลิปสกี้ ผู้อำนวยการอาวุโสแห่งศูนย์เศรษฐศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ Atlantic Council มองว่า แม้สหรัฐฯ และจีนจะยังคงมองเงื่อนไขของข้อตกลงเจนีวาแตกต่างกัน แต่การได้กลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ “จุดตั้งต้น” ดีกว่าการไม่เริ่มต้นเลย โดยเสริมว่า “พวกเขากลับมาอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งดีกว่าการกลับไปศูนย์เสียด้วยซ้ำ”

ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนจากฝั่งสหรัฐฯ ว่าดีลฉบับเต็มซึ่งเคยตกลงกันเมื่อเดือนที่แล้วในเจนีวา และตั้งเป้าว่าจะสรุปภายในวันที่ 10 สิงหาคมนั้น ยังอยู่ในกรอบเวลาดังกล่าวหรือไม่ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนก็ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ตอบกลับหรือลงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงลอนดอนนี้แต่อย่างใด

ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นพัฒนาการสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า แม้ความแตกต่างทางโครงสร้างจะยังไม่คลี่คลาย แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความจำเป็นต้อง “ประคองกันไว้” ไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามจนทำลายระบบเศรษฐกิจโลกในภาพรวม