รัสเซียเดินหน้าโจมตียูเครนด้วยอาวุธหนัก เปิดฉากถล่มทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามจนถึงขณะนี้ ด้วยการยิงโดรนและมิสไซล์จำนวนมากถึง 367 ลูกใส่หลายเมืองสำคัญของยูเครนตลอดคืนที่ผ่านมา รวมถึงกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ การโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบราย โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต มีเด็กอย่างน้อย 3 คนในแคว้น Zhytomyr ทางตอนเหนือของประเทศ รวมอยู่ด้วย สร้างความสลดใจให้กับผู้คนทั้งในยูเครนและทั่วโลก
กระทรวงมหาดไทยของยูเครนระบุว่า มีผู้บาดเจ็บมากถึง 60 คนจากการโจมตีครั้งนี้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ อีฮอร์ คลีเมนโก กล่าวว่า “นี่คือการโจมตีที่ไร้ความปรานีโดยมุ่งเป้าไปที่พลเรือนอย่างชัดเจน ศัตรูแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาคือความหวาดกลัวและความตาย” เขาระบุผ่าน Telegram ทั้งนี้ แม้การโจมตีครั้งอื่นจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ในอดีต แต่ในเชิงจำนวนอาวุธที่ใช้ การโจมตีล่าสุดนับว่าใหญ่ที่สุดของสงคราม
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีท่าทีที่อ่อนลงต่อรัสเซียและผู้นำวลาดิเมียร์ ปูติน มากขึ้น ให้พูดออกมาอย่างชัดเจนต่อความรุนแรงในครั้งนี้ โดยเขาระบุว่า “ความเงียบของอเมริกา และของประเทศอื่นๆ ในโลก ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ปูตินกล้าลงมือมากขึ้น” เขาเขียนผ่าน Telegram พร้อมย้ำว่า “การโจมตีของรัสเซียในแต่ละครั้งคือเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะต้องมีมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อมอสโก”
การโจมตีเกิดขึ้นในช่วงที่ยูเครนและรัสเซียกำลังเตรียมเข้าสู่วันสุดท้ายของกระบวนการแลกเปลี่ยนนักโทษรอบล่าสุด โดยทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนกันฝ่ายละ 1,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ ที่แม้จะยังมีการเจรจาเรื่องนักโทษเกิดขึ้น แต่ในสนามรบกลับมีการโจมตีที่ดุเดือดไม่หยุด
ยูเครนและพันธมิตรยุโรปพยายามผลักดันให้รัสเซียลงนามข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 30 วัน เพื่อเปิดทางสู่การเจรจายุติสงครามที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 3 อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวได้รับแรงกระแทกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซีย เพราะมอสโกไม่ยอมตกลงหยุดยิงตามข้อเสนอของเคียฟ
กองทัพอากาศยูเครนรายงานว่า รัสเซียได้ยิงโดรนโจมตีจำนวน 298 ลำ และขีปนาวุธ 69 ลูกเข้าใส่เป้าหมายทั่วประเทศ โดยสามารถสกัดโดรนได้ 266 ลำ และสกัดขีปนาวุธได้ 45 ลูก อย่างไรก็ตาม ความเสียหายยังคงกระจายไปยังหลายภูมิภาค รวมถึงเมืองคาร์คิฟ เมืองใหญ่อันดับสองของยูเครน เมืองไมโคไลฟ์ทางตอนใต้ และเมืองเทอร์โนปิลทางตะวันตก
ในกรุงเคียฟ ตีมูร์ ตคาเชนโก หัวหน้าฝ่ายบริหารทหารของเมือง ระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 11 คนจากการโจมตีด้วยโดรน โดยไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในเขตเมืองหลวง แต่ในพื้นที่โดยรอบ มีผู้เสียชีวิต 4 คนตามรายงานของเจ้าหน้าที่
นี่เป็นการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ครั้งที่สองในรอบ 2 วัน โดยเมื่อค่ำวันศุกร์ รัสเซียเพิ่งยิงโดรนและขีปนาวุธเป็นระลอกใส่กรุงเคียฟตลอดทั้งคืน
ที่เมืองคาร์คิฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ นายกเทศมนตรี อีฮอร์ เตเรคอฟ กล่าวว่า โดรนของรัสเซียถล่มถึง 3 เขตในเมือง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน และแรงระเบิดยังสร้างความเสียหายแก่ตึกสูงหลายแห่ง
ขณะที่ในเมืองไมโคไลฟ์ ทางตอนใต้ ผู้ว่าการภูมิภาคเผยว่า การโจมตีด้วยโดรนทำให้ชายวัย 77 ปีเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีก 5 คน พร้อมเผยภาพอพาร์ตเมนต์ที่ถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่จากแรงระเบิด เศษซากกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ด้านแคว้นคเมลนิตสกี ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากแนวหน้า ก็ไม่รอดจากการโจมตี โดยผู้ว่าราชการระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บอีก 5 คน
อันดรีย์ เยอร์มัค หัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดียูเครน เขียนผ่าน Telegram ว่า “หากไม่มีแรงกดดันใดๆ สถานการณ์จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง และรัสเซียรวมถึงพันธมิตรของมันก็จะสะสมกำลังสำหรับการสังหารในประเทศตะวันตกต่อไป มอสโกจะสู้ตราบใดที่ยังมีศักยภาพในการผลิตอาวุธอยู่”
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลรัสเซีย โดยกระทรวงกลาโหม ระบุว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของตนสามารถสกัดหรือทำลายโดรนยูเครนได้ 95 ลำภายในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ขณะที่นายกเทศมนตรีมอสโก เซอร์เกย์ โซเบียนิน รายงานว่ามีโดรนยูเครน 12 ลำที่ถูกยิงตกก่อนถึงเมืองหลวง