ในขณะที่โลกกำลังจับตามองท่าทีของสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างจีนและสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าอันยืดเยื้อ ล่าสุดจีนออกมาเน้นย้ำว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศถือเป็น "ก้าวสำคัญ" ในการลดความขัดแย้ง แต่สิ่งที่โลกจำเป็นต้องมีอย่างยิ่งในเวลานี้คือ "ระบบพหุภาคี" ที่แข็งแรงภายใต้กติกาสากลขององค์การการค้าโลก (WTO)
ท่าทีดังกล่าวของจีนถูกประกาศอย่างชัดเจนผ่านถ้อยแถลงของคณะผู้แทนจีนในการประชุมคณะมนตรีทั่วไปของ WTO ที่นครเจนีวา ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน โดยระบุว่า "แม้การเจรจาทวิภาคีอาจได้ผลในบางกรณี แต่จีนเชื่อว่าพหุภาคีคือทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเป้าหมายสูงสุดในการแก้ไขความท้าทายระดับโลก" พร้อมเสริมว่า "เราจำเป็นต้องหาทางออกให้ได้"
คำกล่าวของจีนมีขึ้นไม่นานหลังจากที่ทั้งจีนและสหรัฐฯ เพิ่งบรรลุข้อตกลงหย่าศึกทางการค้าเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ภายหลังสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาตรการภาษีตอบโต้รุนแรงในเดือนเมษายน สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดโลกและประเทศคู่ค้าอีกหลายสิบชาติ
ในข้อตกลงล่าสุด สหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากเดิมที่สูงถึง 145% ลงมาอยู่ที่ 30% ขณะที่จีนก็ตอบสนองโดยลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% ถือเป็นสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดที่หลายฝ่ายเฝ้ารอ อย่างไรก็ตาม จีนยืนยันว่า การลดภาษีครั้งนี้ยังไม่ใช่จุดจบของปัญหา และจำเป็นต้องยกระดับความร่วมมือในระดับพหุภาคีเพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบการค้าโลกอย่างยั่งยืน
จีนยังใช้เวที WTO เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดร่วมกันรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ทางการค้า และยึดแนวทางภายใต้กฎเกณฑ์ของ WTO โดยระบุชัดว่า "การตั้งภาษีฝ่ายเดียวและการขู่จะตั้งภาษีตอบโต้ก็ไม่ต่างอะไรกับการสาดน้ำมันใส่กองเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดโดยสิ้นเชิง ระบบเศรษฐกิจและการค้าที่เปิดกว้าง มีเสถียรภาพ และยึดตามกฎเกณฑ์ เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ"
ฝั่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยออกแถลงการณ์ในที่ประชุมเช่นกันว่า ระบบการค้าพหุภาคีในปัจจุบัน "ไม่สามารถจัดการกับปัญหาร้ายแรงที่ระบบต้องเผชิญได้" พร้อมชี้ว่าประเทศสมาชิกยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและนโยบายที่ไม่ยึดตามกลไกตลาด ซึ่งขัดกับหลักการของ WTO
ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายชาติ โดยมีประเทศสมาชิก WTO ทั้งสิ้น 47 ประเทศที่ร่วมลงนามในถ้อยแถลงที่จัดทำโดยสิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อยืนยันจุดยืนสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดกฎเกณฑ์เป็นหลัก สะท้อนให้เห็นว่าท่ามกลางความขัดแย้งและแรงกดดันจากชาติมหาอำนาจ ยังมีอีกหลายประเทศที่มองเห็นความสำคัญของการรักษาระเบียบการค้าระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว
กลยุทธ์ของจีนที่วางเดิมพันไว้กับระบบพหุภาคีจึงไม่ใช่เพียงการแก้เกมเฉพาะหน้าเพื่อลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงโลกว่าจีนพร้อมจะเล่นบทนำในเวทีระหว่างประเทศในฐานะผู้สนับสนุนระบบการค้าที่เท่าเทียมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น บนเวทีที่ทุกประเทศมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลยุทธ์ของจีนอาจสะท้อนให้เห็นว่าการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่การสร้างเวทีที่ทุกฝ่ายร่วมกันกำหนดกติกาและเดินไปข้างหน้าอย่างเท่าเทียมต่างหาก ที่จะนำโลกออกจาก "สงครามการค้า" และมุ่งสู่ความร่วมมืออย่างแท้จริง