Golden Dome ของทรัมป์ รับมือภัยโจมตี เสี่ยงจุดชนวนอาวุธโลก

22 พ.ค. 2568 | 01:00 น.

ทรัมป์เดินหน้าสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธระดับอวกาศ ‘Golden Dome’ หวังปกป้องสหรัฐฯ จากภัยคุกคาม แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจกระตุ้นประเทศมหาอำนาจพัฒนาอาวุธขั้นสูง

แม้แผน “Golden Dome” ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะสามารถเป็นจริงได้ในระดับเทคนิค แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโลจิสติกส์หลายประการในการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธขนาดใหญ่เช่นนี้ 

เพียงไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร “Iron Dome for America” เพื่อจัดตั้งระบบป้องกันล้ำสมัยที่สามารถปกป้องสหรัฐฯ จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารได้ตัดสินใจเลือกแบบสำหรับระบบขนาดยักษ์นี้แล้ว พร้อมระบุว่าจะสามารถใช้งานได้ภายใน 3 ปี

เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว Golden Dome จะสามารถสกัดกั้นขีปนาวุธได้แม้จะถูกยิงมาจากอีกฝั่งของโลก หรือแม้กระทั่งถูกยิงมาจากอวกาศ และเราจะมีระบบที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ประธานาธิบดีได้แต่งตั้งพลอากาศเอกไมเคิล เก็ตไลน์ (Michael Guetlein) รองผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการด้านอวกาศในปัจจุบัน เป็นผู้นำโครงการนี้

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แนวคิดนี้คล้ายกับระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล แต่มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการระหว่าง Iron Dome ของพันธมิตรสหรัฐฯ กับ “Golden Dome” ที่ทรัมป์เสนอ

เวส รัมโบห์ นักวิจัยจากโครงการป้องกันขีปนาวุธแห่งศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ  ระบุว่า Golden Dome จะต้องครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่า เเละยังต้องมีความครอบคลุมมากกว่ามาก โดยจะต้องมีระบบหลากหลายที่สามารถตรวจจับ ติดตาม และหยุดการโจมตีทางอากาศทุกรูปแบบที่สหรัฐฯ อาจเผชิญ 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Iron Dome ของอิสราเอลได้รับการออกแบบมาเฉพาะเพื่อป้องกันจรวดพิสัยสั้นและกระสุนปืนใหญ่เท่านั้น

ในช่วงไม่นานมานี้ สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสได้เสนอให้จัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์จากงบปีนี้ให้กับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจมีการเริ่มก่อสร้างในเร็ว ๆ นี้

ระบบป้องกันขีปนาวุธจากอวกาศจะเป็นหัวใจหลัก

คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุส่วนประกอบบางอย่างของแผน Golden Dome อย่างชัดเจน เช่น การประเมินความเสี่ยงจากขีปนาวุธที่ทันสมัย และรายชื่อสถานที่ยุทธศาสตร์ที่ควรมีการป้องกันล่วงหน้า

แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ “เครื่องสกัดจากอวกาศ” เช่น เลเซอร์ ที่สามารถหยุดหรือทำลายหัวรบได้ไม่นานหลังจากที่มันถูกยิง แนวคิดนี้คล้ายกับระบบป้องกันขีปนาวุธจากอวกาศในยุคประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ซึ่งผู้วิจารณ์ขนานนามว่า “Star Wars”

เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบสร้างระบบสกัดจากอวกาศจะต้องมั่นใจว่าสามารถครอบคลุมผู้โจมตีและเป้าหมายทุกแห่งไม่สามารถปกป้องฟลอริดาได้แต่ละเลยแคลิฟอร์เนีย แต่นั่นหมายถึงการสร้างเครือข่ายเครื่องสกัดขนาดมหึมา เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเสมอ

ไมเคิล โอแฮนลอน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของโครงการนโยบายต่างประเทศแห่งสถาบัน Brookings ระบุว่า จะมีต้นทุนสูงและไม่มีประสิทธิภาพอย่างรุนแรง

เขากล่าวกับ The Independent ว่า จะต้องมั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถจัดการได้หมด หรืออย่างน้อยต้องเบี่ยงเบนวิถีของทุกสิ่งที่ถูกยิงมาได้ และยังเสริมว่า เลเซอร์ก็เป็นปัญหาเรื่องต้นทุน เพราะจำเป็นต้องถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรพร้อมกับเชื้อเพลิงจำนวนมากและกระจกขนาดยักษ์ที่สามารถรวมพลังงานของเลเซอร์มากพอที่จะทำลายหัวรบได้ แปลว่าเลเซอร์ในอวกาศแต่ละเครื่องจะมีขนาดเทียบเท่ากับกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล

“Golden Dome” จะกลายเป็นจริงได้หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า Golden Dome สามารถเป็นไปได้ในระดับเทคนิค แต่ปัจจัยอื่นจะเป็นตัวตัดสินว่าโครงการนี้จะถูกสร้างจริงหรือไม่

การเสริมระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง อาจกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพการโจมตีของตน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธทั่วโลก

โดยให้เหตุผลว่าถ้าพยายามสร้างระบบนี้ให้ครอบคลุม แม้กระทั่งการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซีย ก็จะจุดชนวนให้เกิดข้อถกเถียงเดิม ๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะจุดชนวนการแข่งขันด้านอาวุธ ซึ่งสุดท้ายฝ่ายป้องกันมักจะเสียเปรียบทั้งในเชิงต้นทุนและประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับฝ่ายโจมตี

ปัญหาอื่น ๆ ยังรวมถึงงบประมาณและขนาดของโครงการ

บางคนเปรียบเทียบ Golden Dome กับโครงการแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นความพยายามลับสุดยอดของสหรัฐฯ ในการสร้างระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ความร่วมมือและการแบ่งปันทรัพยากรอาจเป็นเรื่องยาก และรายละเอียดในจุดนี้ยังไม่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานป้องกันขีปนาวุธ (Missile Defense Agency), กองกำลังอวกาศ, กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ และหน่วยงานอื่น ๆ จะร่วมกันบริหารจัดการ Golden Dome อย่างไร คำตอบยังไม่แน่ชัด

ข้อมูลอ้างอิง 

  • The Independent