เปิดโผ 10 อันดับ "กองทัพ" ปี 2025 ใครทรงพลังที่สุดในโลก?

20 พ.ค. 2568 | 11:00 น.

Global Firepower จัด 10 อันดับกองทัพแกร่งสุดของโลกปี 2025 สหรัฐฯ ยังครองแชมป์ อินเดียทะยานสู่อันดับ 4 ส่วนปากีสถานร่วงจากกลุ่มผู้นำท่ามกลางความตึงเครียดชายแดน

ในโลกที่ยังเผชิญกับความขัดแย้งระดับภูมิภาคและภัยคุกคามข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง "พลังทางทหาร" ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน แต่ยังรวมถึงการยกระดับอิทธิพลของตนบนเวทีโลก การเจรจาระหว่างประเทศ และการดูแลผลประโยชน์ทางการค้าและทรัพยากรที่สำคัญ

การจัดอันดับ "กองทัพที่ทรงพลังที่สุดในโลกปี 2025" โดย Global Firepower ได้สะท้อนภาพภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความตึงเครียดสูง เช่น เอเชียใต้และคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งประเทศที่มีพรมแดนติดกับคู่กรณีในประวัติศาสตร์อย่างอินเดีย-ปากีสถาน หรือเกาหลีใต้-เกาหลีเหนือ ต่างต้องเร่งเสริมแสนยานุภาพเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามภายนอก

จากลำดับล่าสุดในปี 2025 สหรัฐอเมริกา ยังคงครองอันดับ 1 ในฐานะกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณด้านกลาโหมที่ใหญ่ที่สุด การมีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก และเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งแต่เรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงขีปนาวุธและกำลังรบทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ความร่วมมือผ่านพันธมิตรอย่าง NATO ยังช่วยเสริมความสามารถในการฉายอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ ได้อย่างไร้ข้อกังขา

ในอันดับ 2 คือ รัสเซีย ที่ยังรักษาขนาดกำลังพลขนาดใหญ่และคลังแสนยานุภาพนิวเคลียร์ไว้ได้อย่างมั่นคง แม้จะเผชิญแรงกดดันด้านเศรษฐกิจ รัสเซียยังคงเดินหน้าปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะในด้านปืนใหญ่ ระบบขีปนาวุธ และกำลังรบทางภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง

จีน ครองอันดับ 3 โดยกลายเป็นขุมพลังทางทหารที่มีบทบาทสูงในเอเชีย ด้วยการพัฒนาทั้งกองทัพเรือ ระบบขีปนาวุธ และไซเบอร์วอร์แฟร์อย่างต่อเนื่อง งบประมาณกลาโหมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดสะท้อนถึงความตั้งใจของจีนในการท้าทายอิทธิพลทางทหารของโลกตะวันตกในระยะยาว

อินเดีย ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 4 อย่างน่าจับตา โดยใช้จุดแข็งด้านกำลังคนที่มีจำนวนมหาศาล ผสานกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอาวุธในประเทศและการฝึกร่วมระหว่างเหล่าทัพ อินเดียยังมีขีดความสามารถในการทำสงครามในพื้นที่สูง และขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เสริมความลึกเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อันดับ 5 เป็นของ เกาหลีใต้ ซึ่งมีโครงสร้างกองทัพที่ทันสมัยและระเบียบวินัยสูง พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือได้ทันท่วงที ความร่วมมือกับสหรัฐฯ และการพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธในประเทศช่วยให้เกาหลีใต้รักษาความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ในกลุ่มประเทศตะวันตก สหราชอาณาจักร ยังคงยืนหยัดที่อันดับ 6 ด้วยกองทัพที่เป็นมืออาชีพ มีเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่อย่าง Queen Elizabeth-class และเครื่องบินขับไล่ F-35 พร้อมทั้งมีบทบาทโดดเด่นใน NATO

ฝรั่งเศส ตามมาติดๆ ที่อันดับ 7 ด้วยศักยภาพในการส่งกำลังทหารข้ามทวีป กองทัพฝรั่งเศสมีขีดความสามารถทั้งทางอากาศ ทะเล และไซเบอร์ พร้อมคลังนิวเคลียร์ที่ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในยุทธศาสตร์ความมั่นคง

ญี่ปุ่น อยู่ที่อันดับ 8 โดยแม้จะมีข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญหลังสงครามโลก แต่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเฉพาะในด้านระบบป้องกันขีปนาวุธและความปลอดภัยทางทะเล ญี่ปุ่นยังคงเสริมสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในควบคู่กับการพึ่งพาความร่วมมือกับสหรัฐฯ

อันดับ 9 เป็นของ ตุรกี ซึ่งมีกองทัพขนาดใหญ่และมีประสบการณ์สูง พร้อมบทบาทใน NATO และความสามารถในการแทรกแซงในความขัดแย้งระดับภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง

อิตาลี ปิดท้ายในอันดับ 10 ด้วยกองทัพที่สมดุลและมีความสามารถหลากหลาย ทั้งกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองทัพบก พร้อมบทบาทเชิงรุกในภารกิจรักษาสันติภาพและภารกิจร่วมกับ NATO

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในรายงานนี้คือ การที่ ปากีสถาน ไม่ติดอันดับ 10 อันดับแรก ซึ่งอาจสะท้อนถึงความท้าทายด้านยุทธศาสตร์และทรัพยากร แม้จะยังคงเป็นประเทศที่มีกำลังทหารขนาดใหญ่ในเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ โดยกลุ่มก่อการร้ายที่มีฐานในปากีสถาน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 26 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ทำให้อินเดียตัดสินใจโต้ตอบด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ เพื่อล้างบางฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้ายในฝั่งปากีสถาน สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของแต่ละประเทศในการรักษาศักยภาพทางทหารให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน

 

อ้างอิง: Globalfirepower