“ทรัมป์” พบผู้นำแคนาดา “มาร์ค คาร์นีย์” เปิดฉากดีลพลังงาน-ภาษีข้ามพรมแดน

07 พ.ค. 2568 | 23:30 น.

ทรัมป์พบ “คาร์นีย์” นายกฯ แคนาดา รื้อฟื้นสัมพันธ์หลังยุคไบเดน ถกเข้มดีลพลังงาน น้ำมัน ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน หวังตั้งพันธมิตรเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

การพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ ของแคนาดา ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่อแววปรับแนวทางความร่วมมือของสองประเทศอเมริกาเหนืออย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสามประเด็นหลัก ได้แก่ ความมั่นคงชายแดน พลังงาน และการเงินสีเขียว ซึ่งต่างฝ่ายต่างยื่นข้อเสนอที่สะท้อนแนวทางนโยบายในอนาคตของตนอย่างชัดเจน

หนึ่งในประเด็นสำคัญของการเจรจาคือ “ความมั่นคงชายแดน” โดยทรัมป์เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการลดจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมาย โดยเสนอให้แคนาดาเข้าร่วมในระบบ "Safe Third Country" ซึ่งเป็นกลไกที่ปัจจุบันใช้กับเม็กซิโกและประเทศในอเมริกากลางอยู่แล้ว ทรัมป์ยังขอให้คาร์นีย์สนับสนุนการควบคุมการย้ายถิ่นฐานและเสนอให้แคนาดาเข้มงวดกับการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศมากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระของสหรัฐฯ

ขณะที่ในมุมของแคนาดา นายกรัฐมนตรีคาร์นีย์แสดงจุดยืนสนับสนุนการค้าเสรีระหว่างสองประเทศอย่างชัดเจน โดยย้ำว่าแคนาดายังต้องการรักษาความตกลง USMCA เอาไว้ พร้อมเน้นถึงความสำคัญของการค้าที่เป็นธรรมและสร้างสรรค์ ท่ามกลางแรงกดดันที่อาจเกิดขึ้นจากท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์ในประเด็นการเจรจาการค้า

อีกประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมากคือเรื่อง “พลังงาน” โดยคาร์นีย์ผลักดันให้ทรัมป์พิจารณาโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าแคนาดามีศักยภาพด้านพลังงานสะอาดอย่างมาก ซึ่งรวมถึงแร่ธาตุหายากและพลังงานหมุนเวียน และสามารถเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในการจัดหาพลังงานให้กับสหรัฐฯ แทนที่จะต้องพึ่งพาประเทศในตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังคงแสดงจุดยืนในเรื่องพลังงานฟอสซิลอย่างชัดเจน โดยสนับสนุนการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินในประเทศ พร้อมทั้งตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในระดับกว้าง

ในส่วนของ “การเงินสีเขียว” คาร์นีย์พยายามผลักดันความร่วมมือในด้านนี้ โดยเสนอให้มีการจัดตั้งตลาดการเงินสีเขียวร่วมกัน และขยายกลไกการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ทว่าทรัมป์แสดงท่าทีระมัดระวัง และชี้ว่าควรเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคพลังงานแบบเดิมมากกว่า โดยยังไม่ให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรฐาน ESG ในระดับทวิภาคีเท่าที่คาร์นีย์คาดหวัง

แม้การเจรจาครั้งนี้จะไม่ได้มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมในทันที แต่การพบกันของผู้นำสองประเทศก็สะท้อนถึงความพยายามในการเปิดพื้นที่หารือ และวางรากฐานความร่วมมือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดยืนแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

การพบกันครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการทักทายระหว่างพันธมิตร หากแต่เป็นการตั้งเข็มทิศใหม่ให้กับความสัมพันธ์สหรัฐฯ–แคนาดา และอาจสะท้อนแนวโน้มบทบาทของทั้งสองประเทศบนเวทีโลกในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างน่าจับตามอง