สหรัฐอเมริกาและจีน สองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก เตรียมเปิดฉากการเจรจาเพื่อคลี่คลายสงครามการค้าที่ยืดเยื้อในสัปดาห์นี้ โดยหวังจะหยุดการตอบโต้ทางภาษีที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ตามประกาศจากกระทรวงการต่างประเทศจีน รองนายกรัฐมนตรี เหอ หลี่เฟิง จะเดินทางไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเข้าร่วมการเจรจาในระหว่างวันที่ 9 ถึง 12 พฤษภาคม ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมีสัน เกรียร์ เป็นผู้แทนเข้าร่วม
การเจรจาครั้งนี้นับเป็นการพบปะในระดับสูงครั้งแรกของทั้งสองฝ่าย นับตั้งแต่นาย หาน เจิ้ง รองประธานาธิบดีจีน เดินทางเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็เริ่มใช้นโยบายภาษีใหม่กับสินค้านำเข้าจากจีน โดยเพิ่มภาษีสูงสุดถึง 145% ขณะที่ทางการจีนก็ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ บางรายการสูงสุดถึง 125% สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อทั้งสองประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพาการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานโลก
แม้การเปิดโต๊ะเจรจาจะสร้างความหวังให้กับตลาดการเงิน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศต่างมองว่าการเจรจาครั้งนี้จะไม่สามารถหาข้อสรุปใหญ่ได้ในทันที และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า เขาหวังที่จะ “ปรับสมดุลระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้ตอบโจทย์ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้น” พร้อมเสริมว่า “การเจรจาครั้งนี้จะเน้นเรื่องการลดความตึงเครียด มากกว่าการทำข้อตกลงการค้าฉบับใหญ่ เพราะเราจำเป็นต้องลดความร้อนแรงลงก่อน จึงจะก้าวต่อไปได้”
ด้านโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า “หากสหรัฐฯ ต้องการแก้ปัญหาผ่านการเจรจา ก็ต้องยอมรับผลกระทบด้านลบที่รุนแรงจากมาตรการภาษีฝ่ายเดียวของตนเองที่มีต่อทั้งตัวเองและโลก”
สื่อทางการจีนรายงานว่า รัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจเข้าร่วมการเจรจาหลังจากพิจารณาทั้งผลประโยชน์ของประเทศ ความคาดหวังของประชาคมโลก และเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจของสหรัฐฯ โดยยังย้ำว่า จีนเปิดกว้างสำหรับการเจรจา แต่หากจำเป็นต้องต่อสู้ในสงครามการค้านี้ จีนก็พร้อมจะสู้จนถึงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายแสดงความเห็นอย่างระมัดระวัง โดย เดโบราห์ เอลมส์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายการค้าของมูลนิธิ Hinrich กล่าวว่า “เราต้องเริ่มจากที่ใดสักแห่ง แม้จะยังไม่ใช่การเริ่มต้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จำเป็น”
ในขณะที่เฮนรี เกา ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ และอดีตนักกฎหมายขององค์การการค้าโลก (WTO) ชี้ว่า “น่าจะต้องมีการโต้ตอบกันไปมาหลายรอบเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2018 และการเจรจาอาจยืดเยื้อไปอีกหลายเดือนหรือยาวนานกว่านั้น”
ข่าวการเริ่มต้นเจรจานี้ส่งผลเชิงบวกในทันทีต่อตลาดการเงิน โดยตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันพุธ ท่ามกลางการตอบรับของนักลงทุนต่อข่าวเจรจาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีน ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนต่อทิศทางการเจรจา
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาการประกาศนโยบายดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป
แม้บทสรุปของการเจรจายังไม่ปรากฏ แต่ความพยายามในการเปิดโต๊ะพูดคุยครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความร้อนแรงของสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจที่อาจกำหนดทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้