เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม โลกจับตาสถานการณ์ตึงเครียดครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างอินเดียและปากีสถาน หลังจากกองทัพอินเดียเปิดปฏิบัติการโจมตีด้วยขีปนาวุธที่ระบุว่าเป็น “Operation Sindoor” เจาะเป้าหมาย 9 จุดในเขตปากีสถานและแคชเมียร์ฝั่งที่ปากีสถานควบคุม อ้างว่าเป็นศูนย์วางแผนของผู้ก่อการร้ายที่โจมตีนักท่องเที่ยวอินเดียในแคชเมียร์เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 26 คน นับเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในแผ่นดินอินเดียที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุวินาศกรรมมุมไบปี 2008
ฝั่งปากีสถานตอบโต้ทันควันว่า อินเดียคือ “ศัตรูขี้ขลาด” ที่เปิดฉากโจมตีโดยปราศจากเหตุอันชอบธรรม พร้อมประกาศชัดว่า “จะตอบโต้ด้วยความแข็งกร้าว” ขณะที่นายกรัฐมนตรีเชห์บาส ชาริฟ เรียกประชุมคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติทันที และเผยว่ามีการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกไปแล้วอย่างน้อยสองลำ
เบื้องหลังความขัดแย้งครั้งใหม่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน หากแต่สืบทอดความร้าวลึกยาวนานกว่า 77 ปี นับแต่การแบ่งแยกอินเดีย-ปากีสถานจากอาณานิคมอังกฤษในปี 1947 อันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาภูมิภาคแคชเมียร์
แคชเมียร์ ดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดีย ปากีสถาน และจีน เป็นดินแดนหลากเชื้อชาติและศาสนา เดิมทีมหาราชาผู้ปกครองแคว้นต้องการเป็นอิสระจากทั้งอินเดียและปากีสถาน แต่ภายหลังกลับตัดสินใจเข้าร่วมกับอินเดียเพื่อแลกกับการช่วยเหลือทางทหารในการต่อต้านนักรบปากีสถานที่บุกเข้ามา นำไปสู่สงครามอินเดีย-ปากีสถานครั้งแรกในปี 1947-48 และตามมาด้วยข้อตกลง Karachi Agreement ปี 1949 ที่วางแนวหยุดยิงชั่วคราว (CFL)
แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ หลังสงครามปี 1965 และ 1971 ที่นำไปสู่การแยกตัวของบังกลาเทศ ความตึงเครียดยิ่งทวีขึ้นเมื่ออินเดียทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1974 และปากีสถานพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จในช่วงทศวรรษ 1990
นับแต่นั้น ความขัดแย้งถูกเสริมเชื้อด้วยปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายหลายครั้งในพื้นที่แคชเมียร์ และการตอบโต้ด้วยกำลังทหารจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสงครามคาร์กิลในปี 1999 หรือเหตุวินาศกรรมมุมไบปี 2008 ที่มีผู้เสียชีวิต 166 ราย โดยมีชื่อของกลุ่ม Lashkar-e-Taiba (LeT) ที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองปากีสถาน (ISI) เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2019 ที่มีการเพิกถอนมาตรา 370 ซึ่งเคยให้สิทธิพิเศษแก่แคชเมียร์ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นไม่เพียงทำให้ชาวแคชเมียร์รู้สึกสูญเสียอัตลักษณ์ แต่ยังจุดกระแสต่อต้านและการประท้วงอย่างกว้างขวาง รวมถึงการควบคุมสื่อและอินเทอร์เน็ตในพื้นที่
ในช่วงปี 2022-2023 ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการสังหารชาวฮินดูโดยกลุ่มหัวรุนแรง การโจมตีนักท่องเที่ยว และการกวาดล้างของฝ่ายความมั่นคงอินเดีย ในปี 2024 เหตุการณ์ที่ช็อกสังคมคือการกราดยิงรถบัสผู้แสวงบุญที่เมืองเรอาซี คร่าชีวิต 9 ราย และในเดือนตุลาคมมีการสังหารคนงาน 7 คนที่ไซต์ก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมแคชเมียร์-ลาดักห์
จุดแตกหักเกิดขึ้นในวันที่ 22 เมษายน 2025 เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกครั้ง คร่าชีวิตชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาลอีก 1 คน อินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานให้ที่หลบซ่อนแก่ผู้ก่อการร้าย และจับกุมชาวปากีสถาน 2 รายเป็นผู้ต้องสงสัย ขณะที่ปากีสถานโต้ว่าเหตุการณ์อาจเป็น “ปฏิบัติการปลอม” (false flag) ที่จัดฉากขึ้นเองโดยอินเดีย ขณะเดียวกัน กลุ่ม “Kashmir Resistance” ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของ LeT ได้อ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีผ่านช่องทางออนไลน์
จากนั้นความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถานตกต่ำถึงขีดสุด อินเดียตอบโต้ด้วยการระงับสนธิสัญญาน้ำอินดัส ปิดด่านชายแดน และยกเลิกวีซ่าเสรี ฝ่ายปากีสถานก็ไม่ยอมน้อยหน้า โดยปิดน่านฟ้า หยุดการค้า และยกเลิกระบบวีซ่าพิเศษ
นับตั้งแต่เหตุโจมตี นักวิเคราะห์หลายฝ่ายกังวลว่า อินเดียและปากีสถานอาจเดินหน้าเข้าสู่ความขัดแย้งทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดนับจากปี 2019 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองประเทศมีศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ยูเอ็น จีน และสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย “ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงสุด”
แม้ว่าโลกภายนอกจะยังคงคาดหวังการคลี่คลายผ่านการทูต แต่ภาพที่เห็น ณ ตอนนี้คือการปะทะอย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดนแคชเมียร์ พร้อมทั้งปฏิบัติการทางทหารและการจับกุมครั้งใหญ่ในพื้นที่
“อินเดีย–ปากีสถาน” จึงไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งระดับภูมิภาค แต่เป็นระเบิดเวลาที่โลกต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะทุกความเคลื่อนไหวอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเอเชียใต้และความมั่นคงของโลกในอนาคต