กองทัพยูเครน ทหารน้อยลง โดรนมากขึ้น สกัดศึกจากรัสเซีย

01 พ.ค. 2568 | 05:00 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ค. 2568 | 05:06 น.

ยูเครนเตรียมปรับโฉมกองทัพหลังสงคราม ด้วยกำลังพลที่น้อยลงแต่ใช้โดรนมากขึ้น รับมือภัยคุกคามจากรัสเซียในอนาคต ท่ามกลางวิกฤตประชากรลดลงและยุคใหม่ของสงครามขีปนาวุธ

ไม่ว่าข้อตกลงเกี่ยวกับดินแดนหรือข้อจำกัดด้านพันธมิตร ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาจะมีผลต่อยูเครนอย่างไร เเต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กองทัพยูเครน หลังสงครามควรมีลักษณะอย่างไร เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและยับยั้งการโจมตีจากรัสเซียในอนาคต

แม้ยูเครนจะได้รับการรับประกันจากรัสเซียและมีทหารต่างชาติประจำการเพื่อเฝ้าระวังการหยุดยิง เเต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ของการโจมตีในอนาคตทิ้งไป และจำเป็นต้องรักษากองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนการรุกรานในปี 2022

อย่างไรก็ตาม หน่วยรบที่ปกป้องชายแดนที่ราบของยูเครนนั้นจะมีลักษณะแตกต่างจากกองทัพส่วนใหญ่ในยุโรปอย่างชัดเจน เนื่องจากแนวโน้มสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของสงครามโดรน การลดลงของประชากรทั่วทั้งยุโรป และ ยุคใหม่ของขีปนาวุธ

ศูนย์การศึกษากลยุทธ์และระหว่างประเทศ (CSIS) ระบุว่า เพื่อให้การหยุดยิงกลายเป็นสันติภาพที่ยั่งยืน ยูเครนจะต้องเดินหน้าทดแทนกำลังคนด้วยโดรน และลงทุนในระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบชั้น ๆ ผสมผสานกับการโจมตีระยะไกลด้วยความแม่นยำแบบดั้งเดิม กองกำลังนี้จะต้องมีกำลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ลึก ที่เปลี่ยนแนวคิดของสังคมเสรีต่อองค์ประกอบกำลังสำรองและการเกณฑ์ทหารระดับชาติ

สงครามโดรน จากบริษัท 5 แห่ง สู่การผลิต 2.5 ล้านลำต่อปี

สงครามในยูเครนพิสูจน์แล้วว่า “โดรน” คืออาวุธสำคัญในสนามรบยุคใหม่ การต่อสู้ที่ยูเครนต้านทานกองทัพรัสเซียได้มาจากการใช้ปืนใหญ่ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ และโดรนขนาดเล็กจำนวนมากเข้าร่วมรบ

แม้จะเสียเปรียบด้านกำลังพล แต่ยูเครนกลับสร้างระบบการผลิตโดรนได้อย่างรวดเร็ว จากเดิมมีเพียง 5 บริษัทในปี 2022 กลายเป็นกว่า 500 บริษัทภายในปี 2025 พร้อมเป้าผลิตโดรนได้ปีละกว่า 2.5 ล้านลำ

สงครามท่ามกลางประชากรที่หดหาย

ยูเครนเผชิญภาวะประชากรลดลงมายาวนาน ตั้งแต่แยกตัวจากโซเวียตในปี 1991 ที่มีประชากร 52.5 ล้านคน ลดลงเหลือ 37.9 ล้านคนในปี 2024 การเกิดต่ำและการอพยพยิ่งรุนแรงขึ้นจากสงคราม ทำให้การเกณฑ์ทหารจำกัดอยู่ที่ชายอายุ 25–60 ปี และมีอาสาสมัครอายุเกิน 60 เข้าร่วมรบในสนามจริง

ยุคใหม่ของขีปนาวุธ รบจากระยะไกล 

รัสเซียแม้จะรุกภาคพื้นลำบาก แต่สามารถสร้าง “เศรษฐกิจสงคราม” เพื่อผลิตโดรนโจมตีระยะไกลได้อย่างเป็นระบบ ด้วยการสนับสนุนจากอิหร่าน จีน และเกาหลีเหนือ สงครามจึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นการโจมตีทางอากาศต่อพลเรือน สร้างความหวาดกลัวจากท้องฟ้าเหมือนช่วง "Blitz" ของอังกฤษ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นรูปแบบสงครามของโลกมหาอำนาจในอนาคต

ต้นทุนที่ต่ำลงของขีปนาวุธและโดรน บวกกับพิสัยการยิงที่ไกลขึ้น ทำให้การโจมตีระยะลึกจะยิ่งทวีความสำคัญ

กองทัพใหม่ ใหญ่กว่าเดิม แต่คนจะน้อยลง

หลังสงคราม กองทัพยูเครนจะมีขนาดใหญ่กว่าปี 2022 แต่จะมีกำลังคนน้อยกว่าปี 2025 เนื่องจากประเทศต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและส่งคนกลับไปทำงาน โดรนจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก 

ยูเครนต้องรักษาความได้เปรียบด้านสงครามโดรน ด้วยการรักษาเครือข่ายบริษัทขนาดเล็กและกลางที่ช่วยขับเคลื่อนการผลิตในช่วงสงคราม ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาแรงงานสายเทคนิค สร้างระบบการศึกษาเฉพาะทาง แม้สหรัฐจะลดการช่วยเหลือด้านอาวุธ แต่ยังสามารถสนับสนุนระบบเศรษฐกิจโดรนของยูเครนได้ในเชิงการทูตทางเศรษฐกิจ

ลงทุนระบบป้องกันภัยทางอากาศ สร้างกำลังสำรองแนวใหม่

ยูเครนยังต้องขยายระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบชั้น ๆ ควบคู่กับการผลิตขีปนาวุธแม่นยำในประเทศ จากเดิมที่ต้องพึ่งพาอาวุธตกค้างและความช่วยเหลือจากชาติตะวันตก ยูเครนต้องลงทุนในเทคโนโลยีต้นทุนต่ำ เช่น ไมโครเวฟพลังสูงหรือเลเซอร์แรงสูง

แนวคิดกำลังสำรองของยูเครนก็ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่การเกณฑ์รายเดือนแบบสหรัฐ แต่ควรออกแบบให้มีระบบแบ่งชั้น เช่น ให้โปรแกรมเมอร์ วิศวกร หรือผู้มีทักษะพิเศษสามารถรับใช้ชาติผ่านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือร่วมฝึกระยะสั้นปีละครั้ง รวมถึงเปิดทางให้พลเรือนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมอย่างสร้างสรรค์ ผ่านโครงการคล้าย “Army of Drones”