ท่ามกลางบรรยากาศของพิธีศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ กรุงโรม สหรัฐอเมริกาและยูเครนได้ใช้ช่วงเวลาสำคัญนี้จัดการพบกันตัวต่อตัวครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โดยทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลากว่า 15 นาทีในมหาวิหารของวาติกัน ท่ามกลางความหวังในการปลุกกระแสเจรจาสันติภาพยูเครน-รัสเซียที่กำลังถดถอย
การพบกันครั้งนี้ถือเป็นการเจรจาแบบส่วนตัว ไม่มีผู้ติดตามอยู่ใกล้เคียงตามภาพที่ถูกเผยแพร่โดยสำนักงานของทั้งสองฝ่าย โดยทรัมป์และเซเลนสกีนั่งห่างกันเพียงราวสองฟุต โน้มตัวเข้าหากัน พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดในห้องโถงของมหาวิหาร ท่ามกลางความเงียบขรึมและแรงกดดันจากสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดในแนวรบยูเครน
เซเลนสกีกล่าวภายหลังการพบปะว่า การเจรจาครั้งนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น "เหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์" หากสามารถนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริงตามที่เขาหวังไว้ พร้อมขอบคุณทรัมป์ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยย้ำว่าการหารือครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การปกป้องชีวิตประชาชน การหยุดยิงอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข และการสร้างสันติภาพที่มั่นคง ยั่งยืน เพื่อป้องกันไม่ให้สงครามปะทุขึ้นอีกในอนาคต
ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่าการพูดคุยครั้งนี้ "มีประสิทธิผลอย่างยิ่ง" และถือเป็นสัญญาณเชิงบวกในการผลักดันการเจรจาสันติภาพที่กำลังติดหล่ม
หลังจบพิธีดังกล่าว ทรัมป์ได้เดินทางขึ้นเครื่องแอร์ฟอร์ซวันออกจากกรุงโรม และในระหว่างอยู่บนเครื่องบิน โดยได้โพสต์ข้อความบน Truth Social แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยกล่าวประณามการยิงขีปนาวุธโจมตีเขตพลเรือนของรัสเซียในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 12 คนจากการยิงขีปนาวุธใส่อพาร์ตเมนต์ในกรุงเคียฟ ทรัมป์ตั้งข้อสังเกตว่าพฤติกรรมของปูตินบ่งชี้ว่า "เขาอาจไม่ได้ต้องการหยุดสงคราม" และตั้งคำถามว่าควรเปลี่ยนแนวทางจัดการรัสเซียผ่านมาตรการด้านการเงินหรือการคว่ำบาตรรองหรือไม่ พร้อมปิดท้ายด้วยข้อความ "มีคนตายมากเกินไปแล้ว!"
ถ้อยแถลงของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนโทนจากท่าทีเดิม ที่มักวิจารณ์เซเลนสกีอย่างรุนแรงและพูดถึงปูตินในเชิงบวกมากกว่า โดยหลังจากโพสต์ของทรัมป์ไม่นาน วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม พรรครีพับลิกัน ก็ประกาศว่าวุฒิสภาสหรัฐฯ เตรียมผลักดันกฎหมายสองพรรคเพื่อคว่ำบาตรทางการค้ากับประเทศที่ยังคงซื้อพลังงานและสินค้าจากรัสเซีย หากรัสเซียยังไม่แสดงเจตนารมณ์ต่อการเจรจาสันติภาพที่มีเกียรติและยั่งยืน
การพบกันครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีเต็มไปด้วยความตึงเครียด จากการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทรัมป์เคยกล่าวหาว่าเซเลนสกีกำลัง "เสี่ยงทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม" ขณะที่เซเลนสกีก็ตอบโต้ว่า ทรัมป์ตกอยู่ใน "วงล้อมข้อมูลเท็จ" ที่เอื้อประโยชน์ต่อมอสโก
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการซึ่งกันและกัน ทรัมป์ต้องการการสนับสนุนจากเซเลนสกีเพื่อทำให้แผนสร้างสันติภาพสำเร็จตามที่ได้หาเสียงไว้ ส่วนยูเครนเองก็ต้องการให้ทรัมป์กดดันรัสเซียเพื่อลดเงื่อนไขที่หนักหนาสาหัสในการเจรจาสงบศึก
ทว่าความพยายามฟื้นเจรจายังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค จากเอกสารการเจรจาที่รอยเตอร์สได้รับ พบว่าจุดยืนของทำเนียบขาวภายใต้การนำของทรัมป์นั้นขัดแย้งกับยูเครนและพันธมิตรยุโรป โดยหนึ่งในข้อเสนอของวอชิงตันคือการให้การรับรองทางกฎหมายว่าคริมเมีย ซึ่งรัสเซียผนวกไปตั้งแต่ปี 2014 เป็นดินแดนของรัสเซียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็น "เส้นตาย" ที่ยูเครนและยุโรปไม่อาจยอมรับได้
นอกจากนี้ยังมีความเห็นต่างเกี่ยวกับเงื่อนไขการยกเลิกคว่ำบาตรรัสเซีย ความรวดเร็วของกระบวนการดังกล่าว หลักประกันความมั่นคงที่ยูเครนจะได้รับ และการชดเชยทางการเงินให้ยูเครน
การพบกันที่วาติกันครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์และเซเลนสกีได้ไปร่วมพิธีศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งตลอดพระชนมชีพได้ทรงเน้นย้ำเรื่องสันติภาพ รวมถึงการยุติสงครามในยูเครน โดยในการแสดงธรรมเทศนาครั้งสุดท้าย คาร์ดินัลโจวันนี บัตติสตา เร ได้กล่าวย้ำว่า "สงครามทำให้โลกเลวร้ายลงเสมอ และเป็นความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดสำหรับทุกฝ่าย"