ทรัมป์เร่งรัสเซียหยุดโจมตียูเครน ชี้เซเลนสกีอาจยอมสละไครเมียเพื่อสันติภาพ

28 เม.ย. 2568 | 11:00 น.

โดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องรัสเซียหยุดโจมตี พร้อมเผยเซเลนสกีอาจยอมสละไครเมียในดีลสันติภาพ ด้านสหรัฐฯ เตือนการเจรจาต้องคืบหน้าหากไม่อยากยุติความพยายาม

ท่ามกลางความร้อนแรงของสงครามยูเครน-รัสเซียที่ยังไร้วี่แววจะยุติ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียยุติการโจมตี พร้อมเปิดเผยว่าประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนอาจยอมสละคาบสมุทรไครเมีย เพื่อแลกกับข้อตกลงสันติภาพกับมอสโก

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่รัฐนิวเจอร์ซีย์เมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่ารู้สึกผิดหวังที่รัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตียูเครนต่อไป พร้อมเปิดเผยว่าเขาได้พบกับเซเลนสกีแบบตัวต่อตัวที่วาติกันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งการพบปะเป็นไปด้วยดี

เมื่อถูกถามว่าเซเลนสกีอาจยอมสละไครเมียหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า "ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ดูสิ ไครเมียถูกยึดไปตั้ง 12 ปีมาแล้ว" พร้อมโยนความผิดไปยังอดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตอย่างบารัค โอบามา และโจ ไบเดน โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ปล่อยให้รัสเซียยึดไครเมียไปได้ "โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว"

"อย่ามาถามผมเรื่องไครเมีย ไปถามโอบามากับไบเดนเถอะ และอย่าลืมว่านี่คือสงครามของไบเดน ไม่ใช่สงครามของทรัมป์ ผมเข้ามาเพื่อพยายามแก้ปัญหา และปัญหาคือมีคนล้มตายมากมาย" ทรัมป์กล่าวย้ำ

ข้อเสนอล่าสุดจากฝั่งสหรัฐฯ ในการยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี มีการพูดถึงการรับรองสิทธิของรัสเซียในการครอบครองไครเมียอย่างเป็นทางการ รวมถึงการยอมรับการควบคุมพื้นที่อื่นๆ ของยูเครนแบบปฏิบัติจริง (de facto) แตกต่างจากข้อเสนอของยุโรปและยูเครนที่มุ่งเน้นการหยุดยิงก่อน แล้วค่อยเจรจาเรื่องพรมแดนในภายหลัง

ทรัมป์ยังกล่าวถึงเซเลนสกีเพิ่มเติมว่า "ผมมองว่าเขาใจเย็นขึ้น เขาเข้าใจสถานการณ์ดี และผมคิดว่าเขาต้องการบรรลุข้อตกลง"

ในขณะที่ความพยายามเจรจายังไร้ความคืบหน้า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ฝ่ายบริหารของทรัมป์อาจเลิกพยายามเป็นตัวกลางหากสองฝ่ายไม่สามารถทำให้เกิดความคืบหน้าได้ "มันต้องเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เราไม่สามารถทุ่มเวลาและทรัพยากรต่อไปได้หากไม่เห็นผล" รูบิโอกล่าวในรายการ "Meet the Press" ของ NBC

ทั้งทรัมป์และเซเลนสกีเดินทางมายังกรุงโรมเพื่อร่วมพิธีศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และได้มีโอกาสพบปะกันภายในมหาวิหารวาติกัน ซึ่งนับเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่การเผชิญหน้าที่ตึงเครียดในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การพบกันครั้งนี้มีขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเจรจาสันติภาพที่กำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง

ทรัมป์ยังได้ตำหนิประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ผ่านโซเชียลมีเดียหลังการพบกับเซเลนสกี โดยระบุว่า "ไม่มีเหตุผลใดๆ" ที่รัสเซียจะยิงขีปนาวุธเข้าใส่พื้นที่พลเรือน

ขณะที่ทางฝั่งรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ เปิดเผยผ่านรายการ "Face the Nation" ของ CBS ว่า รัสเซียยังคงมีเป้าหมายโจมตีเฉพาะจุดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางทหารเท่านั้น แม้ว่าจะมีเหตุการณ์โจมตีในกรุงเคียฟเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มีผู้เสียชีวิตจากฝั่งพลเรือนก็ตาม ลาฟรอฟยืนยันว่าเป้าหมายที่โจมตี "ไม่ใช่เป้าหมายที่เป็นพลเรือนโดยสิ้นเชิง"

ในด้านยูเครนเอง เซเลนสกีรายงานผ่านแอป Telegram ว่ากองทัพรัสเซียได้ทำการโจมตีเกือบ 70 ครั้งในวันเดียว และกล่าวว่าสถานการณ์ที่แนวหน้ากับกิจกรรมทางทหารของรัสเซียแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "แรงกดดันจากประชาคมโลกต่อรัสเซียยังไม่เพียงพอที่จะยุติสงครามนี้"

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยูเครนและยุโรปได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอจากสหรัฐฯ โดยบอริส พิสโทริอุส รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี ระบุว่า ยูเครนไม่ควรตกลงตามข้อเสนอดังกล่าว เพราะเป็นการยอมสูญเสียดินแดนจำนวนมากเกินไปเพื่อแลกกับการหยุดยิง

ไมค์ วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ กล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความผิดหวังทั้งต่อปูตินและเซเลนสกี แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเดินหน้าเจรจาข้อตกลง พร้อมเผยว่าสหรัฐฯ และยูเครนอาจบรรลุข้อตกลงในประเด็นเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากในอนาคต

ในฝั่งสภาคองเกรส ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต แสดงความกังวลว่า ทรัมป์อาจ "ยอมอ่อนข้อ" ต่อปูติน พร้อมเตือนว่าการละทิ้งยูเครนหลังจากที่เสียสละอย่างมาก จะถือเป็น "โศกนาฏกรรมทางศีลธรรม" และบั่นทอนความร่วมมือของชาติตะวันตกในการต่อต้านรัสเซีย

ท่ามกลางการต่อรองที่ซับซ้อนและการเมืองระหว่างประเทศที่สั่นคลอน บทบาทของสหรัฐฯ และจุดยืนของผู้นำอย่างทรัมป์กำลังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดชะตากรรมของสงครามยูเครนในอนาคต