“มาร์ค คาร์นีย์” นายกฯ คนใหม่แคนาดา ปิดฉากความสัมพันธ์ยุคเก่าสหรัฐฯ

30 เม.ย. 2568 | 03:48 น.
อัปเดตล่าสุด :30 เม.ย. 2568 | 03:50 น.

“มาร์ค คาร์นีย์” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ประกาศยุคใหม่ของประเทศที่ต้องลดพึ่งพาสหรัฐฯ หลังทรัมป์หวนคืนเวที เตรียมเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่

ชัยชนะของ มาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางและอดีตผู้บริหารสายการลงทุน สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ไม่ใช่แค่จุดเปลี่ยนในเวทีการเมือง แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของทิศทางประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาพันธมิตรเก่าแก่และคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของแคนาดา

ในการกล่าวสุนทรพจน์หลังชัยชนะเมื่อเช้าตรู่วันอังคาร มาร์ค คาร์นีย์ ไม่รีรอที่จะประกาศจุดยืนชัดเจนต่อสาธารณชนว่า ความสัมพันธ์แบบเดิมที่แคนาดามีกับสหรัฐฯ "ได้สิ้นสุดลงแล้ว" พร้อมเน้นย้ำว่าแนวทางใหม่ของรัฐบาลเขาคือการปรับเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนการค้าระหว่างกันสูงถึงหนึ่งในห้าของจีดีพีของแคนาดา

"ระบบการค้าเสรีโลกที่ยึดโยงกับสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะไม่สมบูรณ์แต่เคยนำความมั่งคั่งมาสู่แคนาดานับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง มันจบแล้ว" มาร์ค คาร์นีย์กล่าวอย่างจริงจังระหว่างที่บรรยากาศควรจะเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลอง

แคนาดาในยุคมาร์ค คาร์นีย์ ต้องเดินหน้าในสมรภูมิใหม่ โดยเฉพาะภายใต้เงาทะมึนจากการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งเคยปฏิเสธข้อตกลงการค้าเดิม และมีแนวโน้มจะเดินหน้าดำเนินนโยบายชาตินิยมเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น มาร์ค คาร์นีย์ ระบุว่าเขาเตรียมเจรจากับทรัมป์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยผู้ใกล้ชิดเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกำลังเตรียมตัวรับมือทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ "เหมือนตอนซ้อมดีเบตเลือกตั้ง" เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับทรัมป์ในเวอร์ชันไหน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ มาร์ค คาร์นีย์ไม่ได้มาจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ภายในประเทศเอง เขายังต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้า ทั้งวิกฤติที่อยู่อาศัย ค่าครองชีพพุ่งสูง และความไม่พอใจต่อพรรคเสรีนิยมที่สะสมมาตลอดช่วงที่ผ่านมา มาร์ค คาร์นีย์ ให้คำมั่นว่าจะใช้อำนาจรัฐเข้าจัดการปัญหาซ้อนทับเหล่านี้ พร้อมระบุว่า "รัฐบาลสามารถทำสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นได้ด้วยความเร็วที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบหลายชั่วอายุคน"

ในด้านความมั่นคง มาร์ค คาร์นีย์ ส่งสัญญาณชัดเจนเช่นกันว่าจะแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีแนวคิดใกล้เคียงกันในยุโรป แทนที่จะฝากความหวังไว้ที่สหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว ก่อนหน้านี้เขาได้พบผู้นำฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนการเลือกตั้ง และกำลังเตรียมต้อนรับผู้นำ G7 ที่รัฐอัลเบอร์ตาในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญสำหรับแคนาดาในการแสดงบทบาทใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์

กระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจเริ่มก่อตัวในแคนาดา โดยมีการรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ และส่งเสริมให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าในประเทศมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอย่าง ปีเตอร์ มอร์โรว์ จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต เตือนว่า แนวคิดแบบนี้อาจย้อนศรทำลายประสิทธิภาพของภาคธุรกิจแคนาดาเอง

"บริษัทที่ทำการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทที่ไม่ทำ" ปีเตอร์ มอร์โรว์ กล่าว พร้อมแนะว่าแคนาดาควรขยายความร่วมมือไปยังยุโรปและประเทศพันธมิตรอื่นๆ แทนที่จะหันหลังให้โลกภายนอก

เขายังแสดงความกังวลต่อข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ โดยชี้ว่าการกลับไปเจรจากับทรัมป์อาจทำให้แคนาดาต้องยอมเสียเปรียบในประเด็นที่เคยต่อรองไว้แล้ว "เราจะยอมแลกอะไรในข้อตกลงกับพาร์ตเนอร์ที่เคยฉีกข้อตกลงทิ้งอย่างไม่ลังเล?"

ตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงแรงเสียดทานระหว่างสองประเทศ คือเสียงคัดค้านการซื้อเครื่องบินรบ F-35 จากสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายเรียกร้องให้แคนาดาหันไปพิจารณาข้อเสนอจากผู้ผลิตในยุโรปแทน

นักศึกษานโยบายความมั่นคงจากมหาวิทยาลัยออตตาวา ซึ่งเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองชัยชนะของ มาร์ค คาร์นีย์ กล่าวว่า ความกังวลเรื่องอธิปไตยของชาติกลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ "ก่อนหน้าทรัมป์ คนแคนาดาไม่ค่อยพูดถึงความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ แต่การขู่ว่าจะทำให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา และแนวคิดเรื่องการลบพรมแดน มันทำให้ผู้คนตื่นตัวและรวมพลังกัน"