“ทรัมป์ 2.0” 100 วัน เขย่าโลก เศรษฐกิจปั่นป่วน ตลาดหุ้น-ดอลลาร์วูบ

25 เม.ย. 2568 | 07:47 น.
อัปเดตล่าสุด :25 เม.ย. 2568 | 07:48 น.

“ทรัมป์คืนอำนาจ” เขย่าเศรษฐกิจโลก! แค่เกือบ 100 วันแรก ตลาดหุ้นดิ่ง ดอลลาร์อ่อน ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน เสี่ยงซ้ำรอยวิกฤตปี 2008

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 กลายเป็น “รถไฟเหาะเศรษฐกิจโลก” ด้วยนโยบาย “อเมริกันต้องมาก่อน” รอบใหม่นี้ ทรัมป์เดินเกมเร็วและแรง โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าแบบไร้ทิศทาง ซึ่งไม่ได้กระทบแค่จีน แคนาดา หรือเม็กซิโก แต่ยังลากไปถึง “เกาะน้ำแข็งที่มีแต่เพนกวิน” ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกระส่ำ นักลงทุนไม่มั่นใจ ถอนเงินออกจากสินทรัพย์สหรัฐฯ อย่างหนัก

ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ร่วงเกือบ 11% นับตั้งแต่ทรัมป์เริ่มวาระใหม่ ขณะที่เงินดอลลาร์ตกต่ำลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี และพันธบัตรรัฐบาลที่เคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็ถูกเทขาย จนผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแรงที่สุดในรอบ 20 ปี สะท้อนแรงกระแทกจากภาษีนำเข้าและความไม่แน่นอนของนโยบายการเงิน

ดัชนีความผันผวน VIX หรือ “เครื่องวัดความกลัวของวอลล์สตรีท” พุ่งทะลุระดับ 50 สูงสุดนับตั้งแต่ยุคโควิด ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 30 ซึ่งยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 17.6 มาก

บรรดาบริษัทต่างๆ เร่งหาทางหนีภาษี เช่น ผู้ผลิต iPhone ในอินเดียเร่งส่งออกสินค้ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ ภายในเดือนมีนาคม เพื่อหลบผลกระทบ

แต่ไม่ใช่แค่ตลาดการเงินเท่านั้นที่ได้รับแรงสั่นสะเทือน การที่ดอลลาร์อ่อนค่าอย่างหนักกว่า 9% ตั้งแต่ต้นปี ยังทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมอย่างทองคำ พุ่งขึ้นไม่หยุด ล่าสุดราคาทะยานแตะ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 21.4% ในเวลาแค่ไม่ถึง 100 วัน เช่นเดียวกับเงินเยนและฟรังก์สวิสที่แข็งค่าขึ้นกว่า 9% เพราะนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในความเป็นกลางของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังทรัมป์โจมตีเจอโรม พาวเวลล์ อย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ยังสะเทือนถึงเศรษฐกิจโลก จากเดิมที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เคยเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุน ด้วยความโดดเด่นของหุ้นเทคโนโลยีและกระแส AI แต่ตอนนี้ภาพนั้นพังครืน ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปยังตกแค่ 1.4% ส่วนหุ้นจีนที่ควรได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโดยตรง ยังร่วงเพียง 1.1% เทียบกับ S&P 500 ที่หล่นหนัก

ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินใหญ่ทั้ง JPMorgan และ Goldman Sachs ต่างประเมินโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยไว้สูงถึง 60% และ 45% ตามลำดับ สอดคล้องกับการที่ องค์การการค้าโลก (WTO) ปรับลดคาดการณ์การค้าโลกจากเติบโต เป็นหดตัว และ UNCTAD เตือนว่า GDP โลกอาจโตได้เพียง 2.3% เทียบกับ 2.8% ในปีที่ผ่านมา

แม้ผลกระทบหลายอย่างยังยากจะคาดเดา แต่มิติที่ชัดเจนคือ โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจาก “ความไม่แน่นอน” ที่มาจากคำพูด การตัดสินใจ และนโยบายของทรัมป์ ที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ล่าสุด แคนาดาซึ่งถูกทรัมป์กล่าวถึงว่าเป็น “รัฐที่ 51” ยังไม่ยอมอ่อนข้อ ท่ามกลางกระแสไม่พอใจที่ทำให้การท่องเที่ยวจากยุโรปลดลงถึง 17% ในเดือนมีนาคม สะท้อนว่าโลกกำลังตั้งการ์ดสูงขึ้นเรื่อยๆ กับสหรัฐฯ ที่กลายเป็น “ศูนย์กลางความปั่นป่วน” แห่งใหม่อีกครั้ง